|
บทที่
583
จุดเจ้าชะตา
อันที่จริง "จุดเจ้าชะตา" นี้
ความจริงนั้น "สิ่ง"
ที่เราเรียนกันตามเท็คนิคของวิชาโหราศาสตร์ว่า ดวงชะตา นั่นเอง
เนื่องจากการวิวัฒนาการของวิชาจิตวิทยา นักโหราศาสตร์จึงได้คิดพัฒนา
ออกเป็นหลายจุด แทนที่จะใช้เพียง ลัคนา ดังเช่นสมัยโบราณ หรือ เมริเดียน
แต่เพียงจุดเดียว จุดเจ้าชะตา ซึ่งใช้สำหรับแทน ตัวเจ้าชะตา ในระดับต่าง ๆ
ในดวงชะตา ในสมัยปัจจุบันโหราศาสตร์ยูเรเนียนใช้ 6 จุด คือ
เมอริเดียน อาทิตย์ ลัคนา จันทร์ จุดเมษ และราหู
วิชาปรัชญากว่างว่าในโลกนี้มีเพียง 2 สิ่ง สิ่งหนึ่งคือ
"ฉัน" อีกสิ่งหนึ่ง
คือสิ่งที่ไม่ใช่ "ฉัน"
และเรียกสิ่งนั้นว่า "เธอ"
นักโหราศาสตร์แบ่งจุด เจ้าชะตา ออกเป็น 2 พวกคือ
พวกที่เป็น "ฉัน"
จุดเจ้าชะตาที่แสดงอิทธิพลเป็น "ฉัน"
หรือตัวเจ้าชะตา จริง ๆ คือ
เมอริเดียน คือ ตัวเจ้าชะตา ในระดับ สัญชาตญาณ (
วิญญาณ)
จันทร์ คือ ตัวเจ้าชะตา ในระดับ "จิตสังขาร"
( อารมณ์)
อาทิตย์ คือ ตัวเจ้าชะตา ในระดับ "กายสังขาร"
(ร่างกาย)
บทที่
584
ต่อ เรื่องจุดเจ้าชะตา
หากเจ้าชะตาเป็นมนุษย์ การวินิจฉัยดวงชะตา
จะต้องวินิจฉัยให้ครบทั้ง 3 สถาน
เพราะมนุษย์ย่อมคล้องต้องกันกับอิทธิพลของราศีตามลำดับนี้ หากขั้นหนึ่งขั้นใดก็ตาม
มีลักษณะไม่ปกติหรือไม่เป็นไปตามธรรมชาติดังกล่าวนี้ แม้ เพียงขั้นใดขั้นหนึ่งก็ดี
ย่อมมีผล ทำให้พัฒนาการในขั้นอื่น ๆ ต้องพลอยไม่เป็นไปตามปกติด้วย
และก็จะทำให้ชีวิตนั้น ๆ ทั้งชีวิต มีลักษณะไม่เป็นไปตามปกติด้วยเช่นกับ.............
อย่างไรก็ตาม ในจักรราศีจะต้องมี ดาวพระเคราะห์สถิตอยู่
ซึ่งดาวพระเคราะห์เหล่านี้เองที่เป็น "เจ้าการ"
สำคัญ ที่ทำให้ธรรมชาติ หรือิทธิพลของแต่ละราศี
มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากธรรมชาติเดิมของตน
ตามอิทธิพลของดาวเพราะเคราะห์ที่เข้าไปสถิตอยู่ ราศีใด
มีดาวพระเคราะห์ที่มีอิทธิพลสอดคล้องหรือสนับสนุนกับอิทธิพลของตนเข้าไปสถิต
ราศีนั้นก็คงแสดงอิทธิพลของตนอยู่ได้ตามปกติหรือยิ่งดีกว่าปกติหากอิทธิพลของดาวพระเคราะห์นั้นสนับสนุน
ตรงกันข้ามหากราศีใดมีดาวพระเคราะห์ที่มีอิทธิพลลบล้างอิทธิพลของตนเข้าไปสถิต
อิทธิพลที่สร้างความปกติแด่ชีวิตนั้นก็จะถูกทำลายลง
ทำให้กลไกลของธรรมชาติเดิมผิดจังหวะ ซึ่งย่อมจะมีผลทำให้ขั้นอื่นๆ ที่ตามมาภายหลัง
ต้องพลอยรวนไปทั้งขบวนด้วย ดังได้กล่าวมาแล้ว
บทที่
585
ต่อ เรื่องจุดเจ้าชะตา
อย่างไรก็ตาม
ขั้นตอนของวิวัฒนาการในทางธรรมชาติติดตามจังหวะจักรราศีนี้หากถูกทำลายเพียงขั้นหรือสองขั้น
ก็อาจไม่สู้เป็นอันตรายแก่ชีวิตนั้นทั้งชีวิต อย่างมากมายนัก เพราะตามปกติแล้ว
ย่อมไม่มีมนุษย์ใดในโลก ที่ขั้นตอนในการพัฒนาการชีวิตของเขาไม่ถูกทำลายหรือรบกวนเลย
แต่ย่อมจะถูกทำลายเพราะอิทธิพลของดาวพระเคราะห์
ที่มีอิทธิพลลบล้างอิทธิพลของราศีที่สถิตไม่มากก็น้อย
แต่ถ้าหากขั้นการวิวัฒนาการชีวิต อันสอดคล้องต้องกันกับความหมายของจักรราศีต่าง ๆ
ทั้ง 12
ถูกทำลายเสียยังเยินแล้ว ชีวิตทั้งชีวิต อาจไม่สามารถบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง คือ
ราศีมังกร เลย ก็ได้ เช่น มีอันต้องถึงแก่กรรมเสียก่อนอายุอันสมควร
บทที่
586
ตัวอย่าง
การสถิตในตำแหน่งที่ไม่ดี ซึ่งเป็นการทำลายวิวัฒนาการชีวิตในขั้นต่าง ๆ
ที่เห็นได้ชัด เช่น เสาร์ สถิตในราศีเมษ ความหมายของเสาร์ คือ การพลัดพราก
ความจำกัด ส่วนราศีเมษมีอิทธิพลก่อให้เกิดอาการบุกเบิก หรือการเริ่มต้นต่าง ๆ
เมื่อมีเสาร์เข้าไปสถิตอยู่เช่นนี้ ย่อมจะทำให้ชีวิตนั้นทั้งชีวิต
ต้องประสบกับอุปสรรคตั้งแต่ต้นมือ
นอกจากเจ้าชะตาจะประสบอุปสรรคอันเกิดจากความจำกัดและการพลัดพรากในรูปต่างๆตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว
การริเริ่มกิจกรรมใด ๆ ก็ตามในระยะเจริญวัย
หรือในระหว่างการปฏิบัติอาชีพการงานจะมีผล
มีอันต้องเผชิญกับอุปสรรคตั้งแต่ต้นมือเสมอไป ดังนี้เป็นต้น
บทที่
587
จากการพิจารณาดังกล่าวข้างต้น ท่านคงมองเห็นเองด้วยตัวท่านเองว่า
มีหนทางอยู่หนทางเดียวเท่านั้น
ที่ขั้นตอนของวิวัฒนาการชีวิตจะไม่ถูกรบกวนหรือถูกทำลาย หนทางนั้นก็คือ
ในดวงชะตา บรรดา ดาวพระเคราะห์ต่าง ๆ ทุกดวง จะต้องสถิตในตำแหน่งเกษตรของตน
นั้นแหละขั้นของวิวัฒนาการจึงจะไม่ถูกรบกวนหรือทำลายลงไป ซึ่งย่อมจะเป็นไปไม่ได้
เพราะอย่างน้อย อาทิตย์ กับ พุธ ย่อมจะสถิตในตำแหน่งเกษตรของตนพร้อมกันทั้ง
2 ดวงไม่ได้ เพราะพุธจะโคจรอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ไม่เกิน 29
องศา
บทที่
588
อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ ย่อมถือกันว่านดวงชะตาของผู้ใด
หากมีดาวพระเคราะห์สถิตในตำแหน่งเกษตรมากๆ แล้ว ย่อมถือว่า เป็นดวงชะตาที่ดีเด่นได้
เพราะขั้นการวิวัฒนาการในทางธรรมชาติของเจ้าชะตาไม่ถูกบั่นทอนทำลายมากนัก
โหราศาสตร์ยุคศิลปะถือกันว่า ผู้ใดมีดาวพระเคราะห์ได้ตำแหน่งเกษตร
และได้ตำแหน่งที่สนับสนุนตำแหน่งเกษตร รวมกันเกินกว่า 5 ดวง
แล้ว เจ้าชะตาจะมั่งมีเงินทองและมีความสมบูรณ์พูนสุข
ซึ่งเป็นลักษณะอันพึงประสงค์ของดวงชะตาที่น่าจะถูกต้องและสอดคล้องกับธรรมชาติ
เพราะหากพิจารณาตามข้อเท็จจริงแล้ว ท่านคงพอจะเข้าใจและเห็นว่าสมจริงว่า
บุคคลใดก็ตาม หากขั้นตอนของวิวัฒนาการชีวิตเป็นไปเกินกว่า 5
ขั้นแล้ว ย่อมจะเป็นบุคคลที่ค่อนข้างจะหายากอยู่
และก็คงไม่ใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน
จึงสรุปความได้ว่า อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ในตำแหน่งเกษตรก็คือ
การทำให้วิวัฒนาการของชีวิตนั้นทั้งชีวิต ดำเนินไปตามปกติของธรรมชาติที่ควรจะเป็น
มีหนทางอยู่บ้างเหมือนกันที่จะบอกถึง แนวโน้มเกี่ยวกับความมั่งมีศรีสุขของเจ้าชะตา
แต่ไม่เสมอไป และก็ไม่ได้เป็นตำแหน่งที่ก่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์
หรือวิตถารแต่ประการใดทั้งนั้น
บทที่
589
การจำแนกส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ลงบนจักรราศี
นักโหราศาสตร์ แจก ส่วนต่าง ๆ ของร่ายกายมนุษย์ลงบนจักราศี
โดยใช้วิธีการจินตนาการเอาตัวคนขดไว้ในจักรราศี เป็นวงกลม ในลักษณะ ให้ศีรษะอยู่ที่
ราศีเมษ เท้า อยู่ที่ราศีมีน ส่วนของร่างกายที่เหลือ หากตรงกับราศีใด
ราศีนั้นก็จะแทนหรือมีอิทธิพลต่อส่วนนั้นของร่างกาย
ความมุ่งหมายหลักในการแจกส่วนต่าง ๆ ของร่างกายลงบนจักรราศี เพื่อนำมาวิเคราะห์
ราศีใดแสดงอิทธิพล ปกครอง ส่วนใดของร่างกาย ก็คือ เพื่อนำเอาไปใช้ในกิจกรรมของ
การพยากรณ์ โรคภัยไข้เจ็บของเจ้าชะตา ในเรื่องของ วิชาโหราศาสตร์การแพทย์
เพราะการพยาการณ์เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ เป็น งานหลัก
ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งของวิชาโหราศาสตร์
ส่วนการนำเอาไปใช้สำหรับการพยากรณ์เกี่ยวกับ ความงามก็ดี ความได้สัดส่วนก็ดี
ของเจ้าชะตานั้น เป็นเรื่องปลีกย่อยของวิชาโหราศาสตร์
และถือว่าไม่มีความสำคัญมากนัก
ต่อไปนี้เป็นความหมายของจักรราศี ซึ่งเกี่ยวกับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ราศีเมษ หมายถึง ศีรษะ ใบหน้า ถุงน้ำดี ตับ
ราศีพฤษภ หมายถึง คอ
ราศีมิถุน หมายถึง แขน มือ ปอด ไหล่ บ่า ระบบประสาท
ราศีกรกฎ หมายถึง กระเพาะ เต้านม
ราศีสิงห์ หมายถึง หัวใจ
ราศีกันย์ หมายถึง ลำไส้ กล้ามเนื้อ ประสาท
ราศีตู้ หมายถึง ไต ผิวหนัง
ราศีจิก หมายถึง อวัยวะเพศ กระเพาะปัสสาวะ
ราศีธนู ปั้นเอว ตับ เลือด
ราศีมังกร ม้าม เข่า กระดูก
ราศีกุมภ์ หมายถึง หน้าแข้ง ข้อเท้า ข้อนิ้ว น่อง
ราศีมีน หมายถึง เท้า ประสาท
บทที่
590
ในการนำไปใช้สำหรับการพยากรณ์ อาการไม่ปกติ ของส่วนต่าง ๆ
ของร่างกาย โดยการใช้หลักการแจกส่วนต่าง ๆ ของร่างกายลงบนจักรราศี มีหลักง่าย ๆ คือ
เมื่อมีดาวพระเคราะห์ ก็ดี หรือ ลัคนา ก็ดี สถิตในราศีใด
ส่วยของร่างกายที่ตรงกับราศีนั้นจะไม่ปกติ คำว่าไม่ปกติในที่นี้ หมายถึงว่า
อาจไม่สมบูรณ์ หรือ สมบูรณ์มากเกินไป ก็ได้ ทั้งนี้ รวมทั้ง
การเป็นโรคที่อวัยวะหรือส่วนของร่างกายส่วนนั้น ด้วย เช่น อังคาร สถิต ราศีเมษ
เจ้าชะตามักเป็นโรคที่ศีรษะ เป็นต้น หากเป็นดาวบาปเคราะห์ หมายถึง ดาว อังคาร
เสาร์ มฤตยู เนปจูน ตามบทเรียนของโหราศาสตร์ อาการไม่ปกติจะรุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในการพยากรณ์ทางภาคปฏิบัติ จะเพ่งเล็งไปที่ ราศีที่มีดาวพระเคราะห์
สถิตหนาแน่ที่สุด กับ ราศีที่มีดาวบาปเคราะห์สถิตอยู่ ราศีใดตกในสภาพเช่นนั้น
ส่วยของร่างกายที่ตรงกับราศีนั้นจะไม่ปกติไปด้วย
บทที่
591
อย่างไรก็ดี การวินิจฉัยโรค โดยวิชาโหราศาสตร์นี้
ความจริงเป็นบทเรียนขนาดใหญ่อีกบทเรียนหนึ่ง ต่างหาก เรียกว่า โหราศาสตร์การแพทย์
และในวิชาโหราศาสตร์การแพทย์กล่าวไว้ด้วยว่า ผู้ที่ศึกษาโหราศาสตร์การแพทย์
ควรต้องเป็นนายแพทย์ด้วย เพราะวิชาโหราศาสตร์การแพทย์
จะบอกในทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเกี่ยวกับการแพทย์ ตั้งแต่ การป้องกัน การวินิจฉัย
การเยียวยา การเตรียมสมุนไพร และการรักษาพยาบาล
บทที่
592
ดาวพระเคราะห์ กับ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
โดยความมุ่มหมายหลักเช่นเดียวกับการแจกส่วนต่าง ๆ ของร่างกายลงบนจักรราศี
และโดยวิธีการอาศัยหลักการแจกส่วนต่าง ๆของร่างกายลงบนจักรราศีตามที่กล่าวมาแล้ว
เพิ่มเติมด้วยหลักความจริงซึ่งนักโหราศาสตร์สังเคราะห์ได้จากธรรมชาติ
นักโหราศาสตร์ทราบอิทธิพลของดาวพระเคราะห์อันเกี่ยวกับส่วนต่าง ๆ ของร่ากาย
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ความหมายของดาวพระเคราะห์ต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวกับส่วนต่าง
ๆของร่างกายมนุษย์ได้ ดังต่อไปนี้
อาทิตย์ หมายถึง มันสมอง ประสาท หัวใจ ตาขวาของเจ้าชะตาชาย ตายซ้ายของเจ้าชะตาหญิง
ประสาทการแลเห็น และซีกขวาของร่างกาย
จันทร์ หมายถึง สมอง ตาซ้ายของเจ้าชะตาชาย ตาขวาของเจ้าชะตาหญิง กระเพาะ ท้อง
พุง ซีกซ้ายของร่างกาย ลำไส้ เต้านม กระเพาะปัสสาวะ อวัยวะเพศและตับของเจ้าชะตาหญิง
ดาวพุธ หมายถึง มันสมอง ประสาท ความทรงจำ การมองเห็นภาพต่าง ๆ ลิ้น มือและนิ้วมือ
น้ำดี ตับ ปอด ขาอ่อน อวัยวะที่เกี่ยวกับการพูดและการได้ยิน
ดาวศุกร์ หมายถึง มดลูก ไต อวัยวะสืบพันธ์ของสตรี เต้านม คอ ปั้นเอว ก้นกบ ตับ
กลิ่น
ดาวอังคาร หมายถึง หูซ้าย น้ำดี ตับ ไต หลอดโลหิตดำ อวัยวะเพศ อัณฑะ
ดาวพฤหัส หมายถึง ตับ เส้นโลหิตแดง ชีพจร อสุจิชาย
ดาวเสาร์ หมายถึง หูขวา ม้าม กระเพราะปัสสาวะ กระดูก และ ฟัน
ดาวมฤตยู หมายถึง น่อง ข้อเท้า ไขมันในกระดูก มันสมอง ประสาท
ดาวเนปจูน หมายถึง เท้า นิ้วเท้า
ไปต่างจังหวัดจะกลับมาเขียนในวันที่
12
รอไปก่อนนะครับ
ทิ้งคำคมไว้ให้อ่าน
ผู้คนทุกคน ต้องผ่านเรื่องร้ายมามาก บางคนกลัวที่จะเผชิญหน้ากับมัน
แต่แล้ว ทุกคนต้องมีจิตสำนึกดี ที่จะต้องคิดเผชิญหน้ากับมันไปให้ได้
ทุกคนรู้ดีว่าไม่อาจฝืนชะตา ฟ้าลิขิต หรือจะต่อสู้กับมันได้ เหมืนกับข้าพเจ้ากำลัง
เรียนรู้กฎธรรมชาติที่จะสู้กับมัน สักวันหนึ่งเราจะมีสิทธิ์กำหนดชะตาชีวิตของเราเองได้ จากการเรียนรู้ชีวิตที่ผ่านมา
และกฎแห่งดวงดาว
หรือแผนที่ชีวิต ที่ฟ้าลิขิตมา
บทที่
593
ความหมายของดาวเคราะห์ซึ่งเกี่ยวกับส่วนต่าง ๆ
ของร่างกายตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ เป็น ความหมาย หรือ
อิทธิพลของพระเคราะห์ที่ครองส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ซึ่งได้รับการถ่ายทอดกันมาจากสมัยโบราณ อันเป็นความหมายที่ใช้ใกล้
เคียงกับความเป็นจริงอย่างมากที่สุด
และอาจถือเป็น มาตรฐานในการพยาการณ์ได้
อย่างไรก็ดี ในสมัยก่อน มนุษย์สามารถค้นพบดาวพระเคราะห์ใหม่ขึ้นอีก หลายดวง
ซึ่งใช้ในหมู่นักโหราศาสตร์ทั้งยุคศิลปะ และสมัยใหม่ ดาวพระเคราะห์ที่ค้นพบใหม่
นักโหราศาสตร์สามารถทราบอิทธิพล ที่แสดงต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้
โดยวิธีวิเคราะห์และสังเคราะห์ ในทำนองเดียวกันกับสมัยโบราณ
แต่ก็ยังต้องอาศัยประสบการณ์ ของผู้พยากรณ์อยู่บ้าง เพื่อพิสูจน์ทราบว่า
ความหมายซึ่งวิเคราะห์ๆได้นี้ จะเป็นจริงเหมือนของสมัยก่อนหรือไม่
บทที่
594
อย่างไรก็ดี ในจักรราศี หาได้มีแต่ความว่างเปล่าไม่ กล่าวคือ
ย่อมจะมีดาวพระเคราะห์ตามที่ได้กล่าวไว้แล้ว การสถิตอยู่ในราศีต่าง ๆ
อันตรงกับตำแหน่งจริงบนทองฟ้า ณ ขณะเกิดของเจ้าชะตา
ด้วยประการนี้ ปัญหาจึงมีต่อไปว่า ดาวพระเคราะห์ต่าง ๆ
เหล่านี้จะแสดงอิทธิพลอย่างไร เมื่อสถิตอยู่ในจักรราศี ?
ปัญหานี้ ความจริง ยังแยกออกได้เป็น 2 นัย ดังนี้
เมื่อดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่ง สถิตในราศีราศีหนึ่งแล้ว
ดาวพระเคราะห์ดวงนั้น จะแสดงอิทธิพลต่อเจ้าชะตาอย่างไร
ซึ่งคำตอบคือ อิทธิพลของดาวดวงนั้น จะถูกปรุงแต่ง โดยอิทธิพลของราศีที่ตนสถิต
เมื่อดาวดวงหนึ่ง สถิตในราศีราศีหนึ่งแล้ว ดาวที่เป็นเกษตรประจำราศีนั้น ๆ
จะแสดงอิทธิพลต่อเจ้าชะตาอย่างไร
ซึ่งคำตอบคือ ดาวที่เป็นเกษตร ประจำราศีนั้น
จะถูกปรุงแต่งให้มีอิทธิพลโน้มเอียงไปทางอิทธิพลของดาวที่มาสถิต
ตัวอย่าง เช่น เช่นดาวศุกร์ สถิตในราศีเมษ อิทธิพลของ ศุกร์
จะถูกปรุงแต่งด้วยอิทธิพลของราศีเมษ โดยไม่มีการยกเว้น
ในกรณีที่สอง นอกจากเจ้าชะตาจะได้รับอิทธิพลของดาวศุกร์ อยู่ในราศีเมษ แล้ว
เขายังไม้รับอิทธิพลจาก อังคาร ซึ่งเป็นเกษตรประจำราศีด้วย
ซึ่งถูกปรุงแต่งโดยอิทธิพลของดาวศุกร์ โดยตรง
บทที่
595
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น เป็นการพิจารณาอย่างละเอียด
ถึงอิทธิพลของดาวในราศีใด ๆ ซึ่งเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่โหราศาสตร์ ยุคศิลปะ
จะต้องปฏิบัติเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาโดยทั่ว ๆ ไป ว่า ดาว จะแสดง
อิทธิพลอย่างไร เมื่อสถิตในราศีนั้น ทางโหราศาสตร์ คงมีหลักนิยมสำหรับ
ใช้ในการพยากรณ์ ที่แน่นอน คือ ดาวพระเคราะห์ ทุกดวง เมื่อเข้าไปสถิตในราศีใดก็ตาม
อิทธิพลที่เกิดแก่เจ้าชะตาคือ อิทธิพลผสม ระหว่าง ดาว กับ ราศีที่ตนสถิต ทั้งนี้
โดยไม่มีข้อแม้แต่ประการใดทั้งสิ้น
อิทธิพลของดาวเคราะห์ในราศีต่าง ๆ (ขั้นพื้นฐาน)
การวินิจฉัยอิทธิพลของดาวเคราะห์ ในราศีต่าง ๆ คงปฏิบัติตามหลักนิยม
ซึ่งได้กล่าวมาแล้ว นั้น คือ อิทธิพลที่เกิดขึ้นแก่เจ้าชะตา
ในกรณีดาวพระเคราะห์ใด ๆ สถิตในราศีใดก็ตาม จะ เป็น อิทธิพลผสม ระหว่าง
อิทธิพลของดาวพระเคราะห์นั้น กับ อิทธิพลของราศีที่ดาวพระเคราะห์นั้นสถิต กฎนี้
ถือว่าเป็น อมตะ
บทที่
596
ในการผสมอิทธิพล ระหว่าง ดาวพระเคราะห์ กับจักรราศี
ท่านจะสามารถปฏิบัติได้ด้วยความ ถูกต้องยิ่งขึ้น หากท่านระลึกถึง
สมมุติฐานซึ่งเกี่ยวกับคุณสมบัติของจักรราศีกับดาวเคราะห์
ซึ่งยอมรับกันในหมู่นักโหราศาสตร์โดยทั่วไปคือ
ดาวพระเคราะห์ มีคุณสมบัติเป็น เพศ ชาย
จักรราศี มีคุณสมบัติเป็น เพศ หญิง
ดังนั้น ในการผสมคำทำนาย ซึ่งเกิดจาก ดาวพระเคราะห์สถิตในราศี ตามปกติจริง นิยม
ใช้อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ เป็นหลัก และดัดแปลงหรือปรุงแต่งด้วยอิทธิพลของจักรราศี
ดังตัวอย่าง เช่น ดาวอังคาร มีอิทธิพล ก่อให้เกิด กิจกรรม การดิ้นรนต่อสู่
การขวนขวาย การกระทำ การสร้างความเดือดร้อน ฯลฯ ราศีพฤษภ มีอิทธิพล
ก่อให้เกิด การสะสม การกักตุน ความต้องการ เมื่อ ดาวอังคาร สถิตใน ราศีนี้
อิทธิพลผสมที่เกิดขึ้นกับตัวเจ้าชะตา ก็คือ ทำให้เป็นผู้ มี นิสัย หรือสันดาน
ในการดิ้นรนต่อสู่ ขวนขวาย เดือนร้อน ในเรื่อง การสะสม การกักตุน การบรรเทาความอยาก
.......
ซึ่งอาจจะเรียบเรียงให้เป็นภาษาที่มีภาษาที่มีความสระสลวยขึ้น ก็อาจ เรียบเรียง
เป็นคำทำนายได้ว่า "เจ้าชะตาเป็นผู้มีความขยันขันแข็งในการทำมาหาเลี้ยงชีพ
หรือต้องทำมาหากินตัวเป็นเกลียว" ก็พอฟังได้ ดังนี้เป็นต้น
ดาวพระเคราะห์ และราศีอื่น ๆ ก็คงใช้หลักการในทำนองนี้เช่นเดียวกัน
บทที่
597
การผสมอิทธิพล ดังกล่าวมานี้ ถือว่า เป็นการผสมอิทธิพลระหว่างดาวกับราศี ขั้นมูลฐาน
หรือ ขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นการผสมแบบง่าย ๆ และไม่สู้มีความละเอียดลึกซึ้งนัก
ส่วนความแม่นยำนั้น ไม่มีปัญหา คงอยู่ในระดับ 100
เปอร์เซ็นต์
ยังมีการผสมผสมอิทธิพลแบบขั้นพิสดาร อีก 2 ขั้น
ในโหราศาสตร์ ซึ่งจะได้นำมากล่าวในลำดับต่อไป
ความรู้พื้นฐานสำหรับใช้ในการผสมอิทธิพลของดาวกับราศี
ในการผสมอิทธิพล ของดาวกับราศีขั้นพิสดาร หรือแบบพิสดาร ท่านจะต้องใช้
เรื่องของจักรราศี กับตำแหน่งดาวในจักรราศี เป็นเครื่องประกอบ กล่าวคือ
เกี่ยวกับจักรราศี ได้แก่
1 เพศ ชาย
หญิง
2 ธาตุ
ไฟ ดิน ลม น้ำ
3 คุณะ
จร
เกี่ยวกับกำลังดาวพระเคราะห์ ได้แก่
เป็น เกษตร อุจจ์
บทที่
598
ดาวที่เป็น อุจจ์
จะมีความรุนแรงมากกว่าดาวเกษตรในราศีมีดังต่อไปนี้ท่านควรจำไว้
ตำแหน่งดาวอจุจะมีกำลังแรงที่สุดเมื่ออยู่ในราศีที่กำหนด
อาทิตย์ สถิตในราศี เมษ
จันทร์ สถิต ใน ราศี พฤษภ
อังคาร สถิต ใน ราศี มังกร
พุธ สถิต ในราศี กันย์
พฤหัส สถิต ในราศี กรกฎ
ศุกร์ สถิต ในราศี มีน
เสาร์ สถิต ในราศี ตุลย์
ราหู สถิต ในราศี พิจิก
ไม่ว่าจะเป็นดาวในพื้นดวงหรือจรก็ตาม เราสามารถนำมาใช้ได้ จะทำให้เราสามารถทำนายได้
ท่านจะต้องทำความเข้าใจ คุณลักษณ์ทั้ง 3
ประการคือ เพศ ธาตุ คุณะ ของจักรราศี จะไม่ขึ้นอยู่กับดาวที่มาสถิตในราศีนั้น ๆ
แต่ประการใดทั้งสิ้น เพราะเหตุนี้เอง อิทธิพลของราศี ทางด้าน เพศ ธาตุ และ คุณะ
จึงคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีดาวเคราะห์สถิตอยู่ก็ตาม ตัวอย่าง
เช่น ราศีเพศชาย ย่อมมีคุณสมบัติเป็นเพศชายในทุกกรณีไป คือ
เน้นหนักไปทางด้านความต้องการ และปัญญา รู้สึกนึก มีสิติ เชิงรุก ฯลฯ
และราศีเพศหญิงก็ย่อมจะต้องมีคุณสมบัติเพศหญิง
ในทุกกรณีเช่นเดียวกันคือเน้นหนักไปทางด้านจิตใจ และแรงพลักดัน ความต้องการ
ไร้สำนึกหรือไร้สิต เชิงรับ ฯลฯ ดังนั้น โดยไม่ต้องคำนึงถึง การมีกำลัง (เกษตร
อุจจ์) ของดาวพระเคราะห์ที่เป็น เกษตร ประจำราศีนั้น ๆ
แต่ประการใดทั้งสิ้นด้วย เรื่องของธาตุ กับ คุณะ ก็ให้ถือปฏิบัติโดยนัยเดียวกัน
บทที่
599
อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ในราศี ขั้นพิสดาร
กรวินิจฉุย อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ ในราศีต่าง ๆ
ขั้นพิสดาร เป็นการปฏิบัติเพื่อให้ได้มา
ซึ่งความลึกซึ้งและความชอบเอียดละอองในการพยากรณ์ การวินิจฉัย
อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ในขั้นนี้ มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ท่านที่จะปฏิบัติในขั้นพิสดารนี้ได้
จำเป็นต้องผ่านประสบการณ์ในการทำนายมาแล้วพอสมควร เพราะยิ่งละเอียดเท่าใด
ความยุ่งยากอันเกิดขึ้นจากการสับสน ก็ยิ่งจะมีขึ้นมากขึ้นเท่านั้น
จึงใคร่ขออธิบายหลักการไว้แต่เพียงพอสังเขป เป็น การ ปูพื้น
อิทธิพลดาวพระเคราะห์ในจักรราศี ขั้นพิสดาร อาจแบ่งย่อยออกได้อีก เป็น
2 ขั้น ดังต่อไปนี้
1.1 อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ในราศี เมื่อพิจารณา
เพศ ธาตุ และคุณะ ประกอบ
1.2 อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ในราศี
เมื่อพิจารณา คุณภาพของดาว และอื่น ๆ ประกอบ
การศึกษาถึงวิธีวิเคราะห์ อิทธิพล หรือใช้การ ออกแบบคำพยากรณ์ ในกรณีดาวพระเคราะห์
สถิตในราศี ด้วยวิธีการพิจารณาเพศ ธาตุ คุณะ ประกอบ
ไม่สู่มีความยุ่งยากอะไรนัก และยิ่งไปกว่านั้น
ยังเป็นวิธีการพยากรณ์ของโหราศาสตร์ที่ใช้กันเป็น มาตรฐาน อีกด้วย
จึงใคร่ขอกล่าวให้แจ่มแจ้งสักหน่อยในข้อต่อไป ส่วนการวิเคราะห์อิทธิพล
หรือการออกแบบคำพยากรณ์ตามกรรมวิธีในข้อ 1.2 นั้น
ท่านจำต้องศึกษาธรรมชาติของดาวพระเคราะห์ต่าง
ๆ ให้ละเอียดพิสดารกว่านี้ ซึ่งมีทฤษฎียืดยาว เช่นมีการแบ่งดาวพระเคราะห์ ออกเป็น
2 เพศ คือ
เพศหญิงได้แก่ จันทร์ ศุกร์ เสาร์ เนปจูน เพศชาย ได้แก่ อาทิตย์ อังคาร พฤหัส
มฤตยู และดาวพระเคราะห์ที่มีเพศกลาง ๆ คือ พุธ เป็นต้น
บทที่
600
อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ในราศี เมื่อพิจารณา เพศ ธาตุ และ คุณะ
ประกอบ
เมื่อดาวพระเคราะห์สถิตในราศีใด ๆ ก็ตาม อิทธิพลที่ปรากฏ
แก่เจ้าชะตาอันเกิดจากดาวพระเคราะห์ นั้น จะถูกปรุงแต่ง โดย อิทธิพลของ
ราศีที่ดาวพระเคราะห์นั้น สถิตตาม เพศ ธาตุ และ คุณะ ในลักษณะดังต่อไปนี้คือ
1.
เพศ จะเป็นผู้ปรุงแต่ง
พื้นฐานของลักษณะเฉพาะของดาวพระเคราะห์ดวงนั้น
2.
ธาตุ จะเป็นผู้ปรุงแต่ง
พื้นฐานของแนวทางการแสดงอิทธิพลของดาวพระเคราะห์นั้น หรือปรุงแต่ง อารมณ์ อันได้แก่
ร่าเริง ฉุนเฉียว เฉื่อยชา เหี่ยวแห้ง อันเกิดขึ้นจากอิทธิพลของดาวพระเคราะห์
3. คุณะ จะเป็นผู้ปรุงแต่ง
ลีลาการแสดอิทธิพลของดาวพระเคราะห์นั้น
4.
ตำแหน่งของดาวพระเคราะห์ เป็น เกษตร อุจ จะเป็นผู้กำหนดว่า
การผสมอิทธิพลดังกล่าวนี้ จะเป็นไปตามลักษณะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องประการใด
บทที่
601
ตัวอย่าง วิธีออกแบบคำพยากรณ์ ตามที่กล่าวมา
สมมุติว่า ดาวศุกร์ สถิตในราศี เมษ (ศุกร์ หมายถึง กิเลส
ความหมายของโหราศาสตร์ไทย ซึ่งความหมายทั่ว ๆ ไป คือ ความรัก
ความรัก หรือความรู้สึกในทางกิเลสของเจ้าชะตาจะปรากฏ ดังต่อไปนี้
1. เพราะอิทธิพลของราศี เพศชาย
จะมีผลทำให้ความรู้สึกดังกล่าวนี้มีลักษณะเป็นเพศชาย คือ เชิงรุก แสดงออกรุนแรง
กดดันให้แสดงผล มีความโน้มเอียงที่จะรู้สำนึก หรือ อมีสติ บางครั้งเกินขนาด ทารุน
2. เพราะอิทธิพลของราศี ธาตุไฟ
จะมีผลทำให้ความรู้สึกดังกล่าวนี้ มีสัมพันธ์กับ ความ ต้องการ และผลที่ตามมาคือ
การมีความรู้สึกทางด้านความใคร่ เช่น ราคะ มีความรู้สึกรวดเร็วรุนแรง ชอบเรื่องรัก
บางทีก็มากในกามโดยไม่มีขอบเขต
3. เพราะอิทธิพล ของจักรราศี
จะมีผลทำให้ความรู้สึกดังกล่าวนี้ มี ลี ลา คือ มี ความรู้สึกทางด้านความใคร่รุนแรง
อยากมีประสบการณ์ ทางด้านความใคร่เชิงรุก มีอาการปั่นป่วนในความรู้สึกอย่างแรง
มีความริเริ่มให้เกิดความรู้สึกทางด้านความใคร่ โดยตัวของตัวเอง
บางครั้งบางคราวมีแสดงความใคร่ออกมาเพราะอดกลั้นไม่ได้ ไม่รู้จักพอ ชอบสำมะเรเทเมา
เจ้าสำราญ
เมื่อสนธิคำพยากรณ์ตามที่วิเคราะห์ได้ข้างบนนี้แล้ว
ก็อาจเขียนออกมาเป็นข้อความได้ดังต่อไปนี้
"ความรักของเจ้าชะตา มีลักษณะเฉพาะในเชิงรุกที่ร้อนแรง
จนทำให้ความรู้สึกอันไร้สตินี้กลายเป็นความรู้สึกที่มีสติไปในที่สุด
เป็นผู้มีความรู้สึกว่องไวดี และแข็งขัน คุกคามสิ่งแวดล้อม ปรากฏให้เห็นประจักษ์
โดยทั่วไป มีความใคร่ในรูปต่าง ๆ เช่น ราคะ ฯลฯ เห็นชัดเจน
มีการพัฒนาการทางด้านความรู้สึกรวดเร็ว มีปฏิกิริยารวดเร็ว
เสนอสนองทางด้านความรักเร็ว ถึงแม้จะเป็นความรักที่ไม่คุ้นเคยมาก่อนก็ตาม
แรงผลักดันไปสู่การมีประสบการณ์ทางด้านกามตัณหารุนแรง
และอาจกลายสภาพเป็นความไม่รู้จักพอ และสำมะเลแทเมาได้ง่าย
"
บทที่ 602
การออกแบบคำพยากรณ์ในกรณี ดาวศุกร์สถิตในราศีเมษ ที่กล่าวมานั้น
เป็นการปฏิบัติเพียง ดาวศุกร์ ในอิทธิพล ทางด้านความรัก
แต่เพียงประการเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ดี อิทธิพลของดาวศุกร์ทางด้านจิตวิทยา มิได้
มี ความหมายเฉพาะแต่เรื่องของความรักเท่านั้น แต่ยังมีความหมาย หรืออิทธิพลอื่น ๆ
อีก ความสงบสุข ความพอใจ ฯลฯ
ทั้งนี้สุดแล้วแต่ว่าผู้พยากรณ์มีความประสงค์ที่จะออกคำทำนายทางด้านใด
เมื่อต้องการออกแบบคำพยากรณ์ ศุกร์ สถิต ในราศีเมษ สำหรับความหมายประการอื่น ๆ
ท่านอาจปฏิบัติได้ โดยอาศัยแนวทางหรือกรรมวิธี ที่ได้กล่าวแสดงไว้แล้วนั้น
อนึ่ง ท่านต้องเช้าใจให้ถ่องแท้ว่า ในการพยากรณ์ทางโหราศาสตร์นั้น
เรามักไม่พยากรณ์กันจนทุกแง่ทุกมุม เพราะเหตุการณ์ในชีวิตของมนุษย์นั้นมีนับไม่ถ้วน
หากพยากรณ์กันให้หมดจริง ๆ อาจกินเวลาแรมปี กว่าจะเสร็จสักคนหนึ่ง ในทางปฏิบัติ
เขาจึงเลือกพยากรณ์แต่เฉพาะเรื่องที่เห็นว่าสำคัญฯ และเหมาะกับกาลสมัยเท่านั้น
ซึ่งหนทางที่จะทราบว่าเรื่องใดเหมาะแก่การใดสมัยใด
เหมาะแก่กลุ่มชนหรือบุคคลชั้นใดนั้น จะต้องอาศัยประสบการณ์
นักโหราศาสตร์ที่มีความรู้มากก็ไม่ผิดอะไรกับนายแพทย์ปริญญา ผู้รู้โรคสารพัด
นักโหราศาสตร์ที่มีความรู้น้อย นั้นเทียบได้กับนายแพทย์ที่มีความรู้น้อย หรือ
“หมอตี”
ตามร้านขายยาต่าง ๆ การวินิจฉัยโรค ของนายแพทย์สองประเภทนี้ มีลักษณะ ลีลา
แต่ต่างกันฉันใด การวินิจฉัย ดวงชะตาของนักโหราศาสตร์สองจำพวกนี้ ก็มีลักษณะและลีลา
คนละเรื่องกันฉันนั้น และก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่นายแพทย์ ผู้มีความรู้มาก
แต่มีประสบการณ์น้อย ย่อมวินิจฉัยโรค ได้ฉับไว น้อยกว่านายแพทย์ที่มีความรู้
หรือรู้โรคน้อย หรือหมอ ตี ตามร้านยา เป็นธรรมดา เพราะเขารู้โรคมากกว่า
ทำให้เกิดความรังเล วิตกกังวล ซึ่งอุปมาเหมือนนักโหราศาสตร์
ผู้มีความรู้มากแต่ยังขาดประสบการณ์นั้นเอง แต่นายแพทย์ประเภทนี้
รับรองได้ว่าไม่ฆ่าคนไข้
บทที่
603
หลักการพยากรณ์เบื้อต้นเกี่ยวกับวันดี
สำหรับในเบื้องต้น คงใช้เพียง จันทร์จรประจำวัน เท่านั้น
เพราะเป็นปัจจัยที่โคจรเร็วที่สุด (รองลงมาจาก เมริเดียน
และ ลัคนา)
วิธีการพยากรณ์ไม่มีอะไรมาก นอกจาก 2
ประการข้างล่างนี้คือ
1 การร่วมราศีหรือเรือนกับดาว
เจ้าการ (ดาวที่เป็นสาเหตุใหญ่ของเหตุการณ์)
2
การโคจรไปสู่ดาว เจ้าการ (เช่นเดียวกับกรณีที่
1 )
คำว่า ดาวเจ้าการ ที่สำคัญ ก็คือ พฤหัส (โชคลาภ)
เสาร์ (ความทุกข์ พลัดพรากจากัน )
พุธ (การมีกิจกรรมเกี่ยวกับเอกสาร
การเดินทางระยะไกล การเยี่ยมเยียน) ดาวศุกร์ (ความรัก
ความพอใจ ของขวัญ ) ฯลฯ และอาจสรุปได้ว่า
ถ้าดาวเจ้าการเป็นดาวดี เพตุการณ์ก็จะเป็นเหตุการณ์ดี หากเป็นดาวร้าย
หากเป็นเจ้าชะตา ในวันนั้นก็จะเป็นวันที่เป็นพิเศษอะไรสักอย่าง
ส่วนจะพิเศษอย่างไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับดาวพระเคราะห์ อื่น ๆ ในวันนั้น เป็นสำคัญ
บทที่
604
การพยากรณ์จรรายปี รายเดือน ข้าพเจ้าจะขอนำดวงของ พุ่มพวง ดวงจันทร์
ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคภูมิแพ้รูปแบบหนึ่ง เมื่อ วันที่
13/06/2535
เวลา 21.00 น.
เพราะไตวาย เนื่องจากท่านเป็นบุคคลของประชาชนโดยแท้
และเป็นผู้ที่มีความสามารถในการร้องเพลง และมีชื่อเสียงโด่งดังมาก่อน
ในหลายปีที่ผ่านมา เพราะเหตุนี้
ดวงชะตาของท่านจึ่งเป็นเป็นดวงที่เหมาะแก่การศึกษาเป็นพิเศษ
จึงขอนำมาพิจารณาในที่นี้เป็นตัวอย่างในการศึกษา
ข้อมูลกำเนิด
เจ้าชะตา (หญิง)
เกิด วันที่
04/08/2504
เวลา 10.30
จังหวัดสุพรรณบุรี
การพิจารณาพ้นดวงชะตา
ทั่วไป มีดาวสถิตทับเส้น แบ่งราศีหลายดวง เช่น พฤหัส ศุกร์ พุธ
ซึ่งถือเข้าเกณฑ์ของผู้มีลักษณะพิเศษ โดยเฉพาะดาว ศุกร์ ซึ่งสถิตที่ จุดกรกฎ
สำหรับท่านวิตเตอร์ ท่านจะเน้นหนักหนาว่า สำคัญ และเรียกว่า
เกษตรของดวงชะตา (สำหรับบุคคลที่อาศัยอยู่ในซีกโลกเหนือ)
มี จุดเจ้าชะตา สัมพันธ์ถึงกันหลายจุด ซึ่งได้แก่ จันทร์ กำเนิด เล็ง อาทิตย์สะท้อน
ถึง เกือบทำมุม 45 องศา กับ ราหู กับ เมริเดียน
มีดาวพระเคราะห์ และปัจจัยในเรือนเกณฑ์มาก
(
พุธ อาทิตย์ เนปจูน
พฤหัส เสาร์ )
ซึ่งให้ผลทางด้านดีและร้าย (โดยปัญญาต้องพูดว่าให้ผลทั้งด้านดีด้านร้ายทุกดวง)
พบว่า จุด
ถึงแก่ความตาย คือ อังคารเสาร์-ราหู สัมพันธ์ถึง จันทร์และจุดสะท้อนอาทิตย์
โครงสร้างแบบนี้พบเสมอของบุคคลอายุไม่ทันถึง 45 ปี ก็ถึงแก่กรรม
(อันเป็นโครงสร้างต้องใช้ความเป็นอยู่อย่างพิเศษจริง
ๆ อายุจึงจะยาวนานได้
บทที่
605
ตัวอย่างการดูจร
โดยขอยกตัวอย่าง ดวง ของพุ่มพวง ดวงจันทร์
ซึ่งถึงแก่กรรมเนื่องด้วยการเจ็บป่วยเมื่อวันที่
13
มิ.ย. 2535
เวลา 21.00 น
โดยประมาณ ซึ่งเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์สำคัญของชีวิต ในดวงชะตาจรประจำปี
ก็จะบอกเรื่องการถึงแก่กรรม โดย อาทิตย์ จร รายปี และเหตุการณ์รายเดือน
new moon 01/06/2553
ก็มีการแสดงผลอีกที่เราอาศัยจันทร์จรรายเดือน ต่อไปก็เรามาหาวัน วันไหน เท่านั้น
ซึ่งขอให้สังเกต จันทร์จร ดังต่อไปนี้
วันที่ 10 –
11 มิ.ย. 2535 อาจมีอาการเพ้อ เพราะเนปจูน
(จันทร์ทับเนปจูนในราศีพิจิก)
ซึ่งในช่วงจันทร์จรดข้าราศีพิจิก
(การถึงแก่กรรม
นี้ไม่เป็นผลดีต่อการเจ็บป่วย)
13 /06/2535
จันทร์โคจรไปหา เสาร์ ซึ่งเป็น ดาวเจ้าการ เพราะในดวงจร ปี เดือน ได้ระบุมา พุ่มพวง
เกิดวันที่ 04/08/2504 เวลา 10.30 สุพรรณบุรี
บทที่
606
วันนี้ครูขอคุยนอกเรื่องถือเป็นการพักสมองหลังจากเจอเรื่องหนักมาหลายตอนเข้าไปแล้ว
ก็จะมาทบทวนเรื่องที่ผ่านมาว่าเราคุยอะไรไปบ้าง อันดับแรกเราต้องทราบเรื่องจักรราศี
และราศี ธาตุ เพศของราศี เพศของดาว เป็นอย่างไร การทำมุมของดาว ความหมายของดาว
ซึ่งการแปลจะมีความหมายมากมายหลากหลายรูปแบบการแปลออกมาให้เป็นเรื่อง
จุดอ่อนของแต่ละคนคงอยู่ตรงนี้ว่าจะแปลกันอย่างไรให้สวยงามเป็นภาษาน่าฟัง
ไม่ใช่ว่าเราแปลได้มาแล้วพูดออกไปเลย คงไม่ได้ อาจต้องปรับแต่งคำพูดเสียใหม่
ให้เหมาะสมกับคนที่มารับคำพยากรณ์จากเรา คือ แปลจากภาษาดาวให้เป็นภาษาคำพูดให้ได้
จะยากหน่อยแต่คงไม่เกินความสามารถของท่านไป
พื้นฐานอันดับแรกเราต้องดูพื้นดวงให้แตกก่อน ว่าเค้าเป็นคนราศีอะไร
เราก็เอาราศีมาพูดเช่นนิสัยใจคอ เป็นอย่างไร มีดาวร้าย
หรือดาวดีอยู่ในราศีที่อาทิตย์อยู่หรือไม่ ถ้ามีก็เอามาใช้ด้วย
และอาทิตย์กำเนิดเราไปทำมุมกับดาวอะไรก็เอามาแปลได้ด้วยเป็นการขยายความหมายของพื้นดวงออกไปอีก
ต่อไปก็ไปสำรวจจุดเจ้าชะตาทั้งหมดว่าอยู่ในราศีไหน
มีการทำมุมกับดาวดีดาวร้ายอะไรก็เอาพูดได้เช่นกัน ส่วนเรื่องลึก ๆ
เราอาจต้องใช้จุดอิทธิพลเข้าช่วย ดูอีกที ถ้าเจ้าชะตาถามขึ้นมา
เช่นจะได้ย้ายงานในปีนี้หรือไม่ อันนี้มันก็เป็นเรื่องของการดูจรไป ส่วนใหญ่ ๆ
การดู ก็มี การดูพื้นดวง กับการดูจรเท่านั้นเอง จรอาจแบ่งเป็นหลายเรื่องไปอีก
เช่นการดูวันดี ๆ ฯลฯ
แต่ขั้นแรกท่านต้องอ่านพื้นดวงให้แตกก่อนเพราะพื้นดวงมันจะบอกชีวิตทั้งหมด
ตั้งแต่เกิด จนถึงตาย
บทที่
607
สำหรับวันนี้ขอนอกเรื่องนิดหนึ่ง
จะบอกข่าวงานบุญ โดยที่คณะมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยนเรศวรได้มีโครงการที่จะจัดสร้างวัดไทยที่ประเทศอาร์เจนติน่าโดยมี
รองศาสตราจารย์นุชนาฏ ดีเจริญ เป็นผู้ประสานงาน ในวันที่
28 - 29 กรกฎาคม 2554
ที่จะถึงนี้ ทางครูอยากจะขอแรงนักเรียนที่พร้อมในการพยากรณ์
ไปช่วยงานกัน เหมือนได้ฝึกออกงาน เป็นจังหวะที่ดี สำหรับท่านที่จะได้ออกภาคสนาม
ที่ใหญ่ จะทำให้ท่านเกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น ไม่ว่านักเรียนเก่าหรือใหม่
เชิญมาช่วยทำบุญดูดวง เพื่อนสร้างวัดกัน งานนี้ต้องการ 10
คนอย่างต่ำ เพราะงานนี้คุณ ยุวดี เรื่องฉาย หรือ (ปู
โลกเปี้ยว) นักเรียนรุ่นแรก ๆ ก็ไปช่วยกันทำนายด้วย
ซึ่งถือว่าคุณปูให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างนี้ในงานครั้งนี้โดยไม่คิดค่าแรงใด ๆ
ครูขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย การดูครั้งนี้ ก็ไม่ต้องมีอะไรมาก
เราจะใช้เวลาในการทำนายเพียงคนละไม่เกิน 15 ถึง 20
นาที ต่อคน ให้ผู้ที่ต้องการทราบ ถามคำถามมาได้ สามสี่เรื่อง ก็พอ
ไม่ต้องดูหมด เพราะเวลามีน้อย เอาแต่เรื่องที่เค้าตั้งใจมาถามเราเท่านั้น
ถ้ามีเวลาก็อาจเอาเรื่องสุขภาพ หรือเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ มาบอกได้
เราจะดูเพียงรายปี กับรายสามเดือน ก็พอ คิดว่าไม่ยากจนเกินไป
ครูจะบอกแนวทางอยากให้ท่านไปฝึกเรื่องโค้งฯ ต่าง ๆ มา ถ้าผู้ต้องการทราบเรื่องอะไร
เราก็เปิดโค้งฯ บอกไปว่าได้หรือไม่ได้เท่านั้นเป็นหลักใหญ่ ๆ ส่วนจุดอิทธิพล
ก็สามารถนำมาใช้ได้ เป็นรายปี
วิธีดูให้ตั้งพื้นดวงก่อนและทำการสำรวจดูว่าพื้นดวงเค้ามีอะไรก็พูดไป
ต่อจากนั้นให้ตั้งดวงรายปี คืออาทิตย์จรทับอาทิตย์กำเนิด
ถ้าคนเวลาเกิดไม่ตรงก็ให้ไปใช้ดวงสงการณ์ คือเอาอาทิตย์เข้าราศีมังกรแทนไป
ผสมกับโค้งฯ รายปี ท่านก็สามารถอ่านเรื่องที่เค้าถามมาได้แล้ว
คิดว่าคงจะไม่มีเรื่องอะไรถามมากส่วนมากก็จะเป็นการปรึกษาระบายความในใจเป็นส่วนมากเรามีหน้าที่ตอบและให้กำลังใจเค้าไป
หลักใหญ่ ก็จะใช้วิธีนี้ จากที่ครูไปดูมาก่อนหน้านี้
ก็ได้เห็นแล้วว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็น อาจารย์ นักศึกษา ฝึกงาน เป็นส่วนใหญ่
มักจะมาถามว่า ปีนี้สอบผ่านไหม จะเรียนจบไหมในปีไหน ได้ไปเรียนต่อไหม
จะขายที่ดินได้ไหม จะได้แต่งงานหรือเจอคนที่ถูกใจปีไหน คนนี้เหมาะกับเค้าไหม
เรื่องก็มีใหญ่เพียงเท่านี้ ท่านก็อาศัยโค้งฯ เป็นหลัก
อาจมีดวงคู่มาบ้างการดูก็เหมือนดูรายปี
ว่าดวงวงนอกกับวงในมีความสัมพันธ์ถึงกันหรือไม่ใครยังไม่เข้าใจเวลาเข้ามาเรียนมาถามได้ท่านอาจต้องใช้
เพราะเรื่องนี้จะถามกันมาก บางทีเอาดวงแฟนมาสามสี่คนมาให้เราเลือกให้ก็มี
แต่เราก็จะบอกเพียงว่าคนไหนเหมาะสมที่สุด ไม่ต้องไปออกความคิดเห็นอะไรมาก
ว่าเค้าดีเสียตรงไหน เพียงแต่บอกนิสัยของดวงที่มาให้ดูว่าเป็นอย่างไร ท่านรับได้ไหม
เป็นหลัก การได้ออกฝึกนี้จะทำให้ท่านเกิดความมั่นใจในการอ่านดาวมากยิ่งขึ้น
ผลคือท่านสามารถเป็นนักโหราศาสตร์ที่ดีได้
สมัยก่อนครูก็เหมือนท่านทั้งหลายคือดูไม่เป็น
แต่พอดูไปดูมามากเข้าดวงมันก็จะสอนให้เราเอง ว่าจะพูดอย่างไร ออกคำทำนายอย่างไร
เป็นไปเองท่าน ไม่ต้องไปกลัว ใหม่ ก็ จะเป็นกันทุกคน แต่พอนานไปก็จะง่ายไปเอง
รู้หลักในการทำนายได้เองอันนี้สอนกันไม่ได้ท่านต้องฝึกตัวท่านเอง
ส่วนมากคนที่เรียนไปและบอกว่ายากไม่เป็น เพราะไม่ได้ฝึกดูดวง ท่านต้องดูดวงให้มาก
แล้วท่านก็จะเห็นมุมดาวเอง วันนี้จบไว้แค่นี้ก่อนใครสนใจรีบหน่อยนะครับ
ที่นั่งไปจำกัด ต้องเอารถไปกันเอง ค่าน้ำมันกำลังหาคนใจบุญช่วยอยู่
ใครที่ต้องการทำบุญครั้งนี้ไม่ได้ไปก็อาจช่วยค่าน้ำมันรถไปสำหรับนักเรียน
ที่จะต้องเอารถไปเอง งานนี้ขอบอกว่าเป็นงานบุญ แต่ที่พักอาหารทางมหาลัย
เค้าจัดการให้ นอนโรงแรมดี อาหารสามเวลา
บทที่
608
การพยากรณ์รายปีด้วยโค้งฯ ดูพื้นดวงจรรายปี
(โค้งสุริยาตร์)
การพยากรณ์รายปีแบบนี้เราจะดูดาวพื้นดวงเพียงอย่างเดียว
ก็สามารถบอกเหตุการณ์รายปีได้แล้วแต่ไม่สามารถบอกเหตุการณ์รายเดือนได้
แต่เป็นการดูที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับผู้ฝึกดูจรใหม่ ๆ
ก่อนอื่นท่านต้องรู้ว่าโค้งฯดาวเคราะห์ต่าง ๆ
มีความหมายอะไรบ้างเราจะได้แยกดูได้ถูกเรื่องที่เราจะเปิดเข้าไปโดยใช้
planet
และใส่โค้งฯดาวนั้น ๆ ลงไป โดยยึดหลักของโค้งสุริยาตร์มีอยู่ว่าโค้งจะเดินไป 1 องศา
เท่ากับ 1ปีเสมอ ไม่ว่าจะเป็นโค้งดาวอะไรทั้งสิ้น
เมื่อเราฝึกหัดดูพื้นดวงได้แล้วขั้นต่อไปเจ้าชะตาก็มักจะถามว่าจะเกิดเมื่อไร
สิ่งที่จะตอบว่าเหตุนั้นจะเกิดเมื่อไรคือโค้งสุริยาตร์นั้นเองจะบอกว่าเหตุนั้นจะเกิดปีไหน
เราแบ่งการดูโค้งดังนี้
1. โค้งเรื่องงาน ตำแหน่ง โครโนส
โค้ง พฤหัส โค้ง พาพอสลอน
2. โค้งเรื่องความรัก โค้ง ศุกร์ โค้ง ราหู โค้ง คิวปิโด
3. โค้งการมีเคราะห์ โค้ง เสาร์ และการพลัดพราก การออกจากงาน
4. โค้งการเจ็บป่วย โค้ง เสาร์ แฮดมตอส ฮาเดส เนปจูน
5. โค้งอุบัติเหตุ โค้ง มฤตยู อังคาร เซอุส เนปจูน
6. โค้งการเดินทาง
โค้งพุธ เสาร์ ลัคนา
7. โค้งแห่งการเรียนรู้ศาสตร์ต่าง ๆ โค้ง โพไซดอน โค้งเนปจูน
8.โค้ง
ha
การเจ็บป่วยที่ยาวนาน การตาย
9.
โค้ง ad
การตายจากไป
10.โค้ง
ne
การเจ็บป่วย
11.โค้ง
ar
ไว้ดูเรื่องปัจจุบัน
รวมทั้งโค้ง จุดเจ้าชะตาด้วย
ขั้นตอนแร่งเจ้าชะตาถามเรื่องอะไรเราก็ตั้งตั้งนั้น ๆ ขึ้นมา โค้งนั้น ๆ ก็จะมีแกนสีแดงกางออกมาซ้ายขวา และโค้งนี้ถือว่าเป็นดาวดวงหนึ่งและเป็นจุดเจ้าชะตาด้วย โค้งที่กางออกไปไปทำมุมกับดาวหรือจุดเจ้าชะตา หรือเข้าแกนทั้งสี่ ก็คือว่าปีนั้นโค้งเรื่องที่เราถามนั้นทำงานแล้ว วิธีหาว่าโค้งจะทำงานในปีไหนเราก็กด Transit และหมุน พ.ศ ไปเลื่อนโค้งก็จะกางออกไปตาม พ.ศ หรือจะหมุนถอนหลังโค้งก็จะหุบลงไปตามพ.ศ เพื่อไปดูเรื่องในปีที่ผ่านมาได้อย่างแม่นยำ ถ้าเรารู้แล้วว่าไปไหนน่าจะเกิดเรื่องอะไร เราก็อาจถามลงไปอีกว่าคือเรื่องอะไรเช่นเรามาเรื่องงาน มันก็จะมีการเปลี่ยนงาน การเลื่อนตำแหน่ง การลาออก ฯลฯ เราก็มีวิธีบีบให้ง่ายในการตอบคำถามคือตั้งจุดอิทธิพลในพื้นดวง ใช้ compute และตั้งจุดอิทธิพลบวก arc ลบ arc เข้าไปถามว่าเป็นเรื่องไหนเช่นตั้งการถามว่ามีเรื่องจากการเรียนงานหรือไม่ ก็ใช้สูตร1= pl+pl-ma+arc 2=pl+pl-ma-arc และตั้งจุด เปลี่ยนงานพื้นดวง3= pl+pl-ma เราจะตั้งทั้งหมดสามจุด ถ้าเข้าสอบในสามก็ใช้ได้แล้วว่าจะเกิดเรื่องนี้ถ้าเข้าทั้งสามจุดก็เป็นไปได้สูง การเข้าก็จะดูว่าจุดอิทธิพลที่เราตั้งขึ้นมานี้ไปทำมุมกับดาว จุดเจ้าชะตา เข้าแกนทั้งสี่ หรือเส้นแบ่งราศี ก็ได้ การดูจุดอิทธิพลเราต้องดูโค้งหลักมาก่อนและค่อยมีดูจุดเล็กเพื่อสรุปเรื่องที่เจ้าชะตาถามอีก โดยการดูแบบนี้เราไม่ต้องตั้งดวง Sola return เลย เพราะโค้งในระบบโปรแกรมตัวนี้คิดถึงวันนี้เมื่อเราเปิดเครื่อง โค้งก็จะทำงานตั้งแต่พ.ศเกิดปีหนึ่งไปอีกปีหนึ่ง เช่น เกิดสิงหาคม พ.ศ.2547 ก็จะไปหมด สิงหาคม พ.ศ 2548 คือการดูปีนี้ แต่ถ้าเราดูปีหน้า เราก็หมุนไปดูด สิงหาคม พ.ศ 2548 ไปหมดเรา สิงหาคม พ.ศ 2549 เป็นต้น โดยการตั้งวันเดือนปีเกิด แต่ พ.ศ. เปลี่ยนไปตามที่เราตั้งการ การดูโค้งเราก็ดูเหมือนดาวหรือปัจจัยชนิดหนึ่งแต่ถือเป็นจุดเจ้าชะตาจรรายปี ถ้าท่านหมุน พ.ศ ไป โค้งฯ ต่าง ๆ ก็จะหมุนไปด้วย พร้อมกับจุดอิทธิพลที่เราตั้งไว้ ที่ บวก และ ลบ arc ก็จะหมุนตามไปด้วยเราก็จะง่ายว่าเรื่องนั้น ๆ น่าจะไปเกิดเดือนไหนมีความรุ่นแรงปีไหน ส่วนในพื้นดวงไม่ได้บวก arc ก็อยู่คงที่เราให้โค้งต่าง ๆ เข้ามาทำมุม เป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นจุดอิทธิพลพื้นดวงต้องรอให้โค้งมาปลุกมันให้ทำงาน
การดูแบบนี้ก็นับว่าเป็นการดูรายปีแบบง่าย ๆ ไปต้องไปยุ่งกับดาวจรเลยก็สามารถบอกเรื่องต่าง ๆ รายปีได้อย่างแม่นยำทีเดียว แต่ถ้าเราใช้จรวงนอกด้วยก็จะสร้างความมั่นใจให้กับเรามากยิ่งขึ้นและสามารถดูรายเดือน วัน นาที ได้ ท่านควรฝึกดูโค้งพื้นดวงไปก่อนจะทำให้ท่านมีความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ไม่ งง กับวงนอกมากนัก เพราะยังไม่คุ้นเคยกับวงนอก แต่ถ้าท่านค่อย ๆ เล่นไปแล้วท่านก็เริ่มมีความเข้าใจไปเอง แล้วค่อยมาก่อนดาววงนอกกันต่อไป
ส่วนโค้งจุดเจ้าชะตาเราก็อาจนำมาใช้บ้างเพื่อนเป็นการย้ำเรื่องนั้น ๆ
ได้เช่นเดียวกัน เช่นเราเช็คโค้งเรื่องสุขภาพ ความเป็นความตาย เราอาจเอาโค้ง
อาทิตย์ จันทร์ เข้ามาตัดสินความรุนแรงได้ด้วยเช่นกัน แต่โค้งจะตั้งได้แค่ 5
โค้งเท่านั้นในแต่ละครั้ง แต่ต้องลงและทำใหม่ ส่วนโค้ง เมษ
ก็สามารถบอกเรื่องสำคัญต่าง ๆ ก็ได้
ถ้าเราใช้โค้งจุดเจ้าชะตาเราก็ไม่ควรใช้โค้งดาวเคราะห์เพราะจะทำให้สบสนยากต่อการเข้าใจ
ให้เลือกใช้โค้งอย่างใดอย่างหนึ่งก็เพียงพอแล้ว
แต่บางท่านอาจมีความชำนาญในการหาโค้งจุดเจ้าชะตาวิ่งไปหาดาวเคราะห์ต่าง ๆ
ก็ได้เช่นกัน
แต่ข้าพเจ้าขอแนะนำให้ไปเล่นโค้งดาวเคราะห์ตามที่บอกมาจะดีกว่าเพราะแยกเอาไว้ให้แล้วง่ายในการพยากรณ์ด้วย
บทที่
609
การทดสอบเดือนสำคัญ
ในตามความจริงนั้น โค้งสุริยยาตร์ ระหว่าง จุดเมษ กับ แอดเมตอส บางปี ก็อำนวยให้เราสามารถที่จะวินิจฉัยได้เหมือนกัน ว่าในเดือนนั้น ๆ น่าจะเป็นเดือนสำคัญในชีวิตของเจ้าชะตาหรือไม่ ด้วยวิธีการทดสอบเหตุการณ์ พลัดพราก ย้อนหลัง
ดังตัวอย่าง เช่น ในเดือนมีนาคม 2518 แอดเมตอส โคจรอยู่ ณ ตำแหน่ง ประมาณ 4 พ.ภ.35 ถึง
4 พภ.49 ห่างจาก จุด ที่ทำมุม 45 องศา กับจุดเมษ เท่ากับ 10.25 องศา และ 10.11 องศา เมื่อแปลงอายุเป็นปีก็จะเท่ากับ 10 ปีกว่าเล็กน้อย ในการคิดโค้งสุริยยาตร์โดยละเอียดต้องคิดเดือน มีนาคม คือให้ถือเสมือนว่า เจ้าชะตาเกิดในเดือนนี้ หากสอบชีวิตจริงของเจ้าชะตาแล้วปรากฏเมื่อ 10 ปี กว่าที่ผ่านมานี้ 2508 มีเหตุการณ์พลัดพรากจากกันเกิดขึ้นแก่เขา เช่นย้ายที่อยู่ที่เรียนหรือพลัดพรากจากสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ก็ย่อมจะหมายความว่า ประมาณเดือน มีนาคม นี้ เหตุการณ์ที่สำคัญ ๆ จะบังเกิดขึ้นแก่เขา หากสอบแล้วไม่ปรากฏว่าได้ประสบเหตุการณ์ดังกล่าว เดือน มีนาคม นี้ก็จะไม่มีเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่น่าสนใจเกิดขึ้นแก่เจ้าชะตา
อย่างไรก็ดี ในการตรวจสอบเดือนสำคัญสำหรับชีวิตของเจ้าชะตาที่แน่นอนกว่านี้ ท่าน ย่อมสามารถที่จะปฏิบัติได้ โดยไม่ยาก โดยใช้ เสาร์ พฤหัส รวมทั้ง อังคาร ด้วย เป็นตัวสอบ ด้วยวิธีสอบ กับจุดเมษ เช่นเดียวกัน กล่าวคือ โดยอาศัยระยะระหว่าง เมษ กับ ดาวพระเคราะห์จารที่ใช้ทดสอบเช่นเดียวกับสอบโดย แอดเมตอส
1. โค้งสุริยยาตร์ ระหว่าง เมษ กับ เสาร์ จะแสดงถึงการพลัดพรากจากกันในอดีต
2. โค้งสุริยยาตร์ ระหว่าง เมษ กับ พฤหัส จะแสดงถึงประสบโชคลาภ ในอดีต
3. โค้งสุริยยาตร์ ระหว่าง เมษ กับ อังคาร จะแสดงถึงความไม่อยู่เฉย ในอดีต ทั้งนี้รวมทั้งการได้รับบาดเจ็บ เมษ/อังคาร
การสอบระยะระหว่าง เมษ กับ พฤหัส
เสาร์ อังคาร ตามที่กล่าวมานี มักอำนวยให้เราทราบ วัน ที่จะเกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆ
ได้บ่อย ๆ ดังนี้ก็เพราะ ดาวพระเคราะห์ทั้ง
3 โคจรค่อนข้างเร็ว
เมื่อนำมาใช้ทำการสอบด้วย
บทที่
610
ดวงการชะตา หรือดวงเฉพาะกิจ
ดวงการชะตานี้ไว้ใช้ตรวจสอบเรื่องสำคัญ ง ๆ ที่เจ้าชะตาเข้ามาถามนักพยากรณ์ ดวงนี้จะบอกถึงเรื่องต่างๆ ที่เจ้าชะตามาหาว่าเป็นอย่างไรเช่น ถามเรื่องเจ็บป่วย หรือของหาย หรือมาโดยไม่ถามอะไรเลย เราก็สามารถทราบได้โดยการตั้งดวงขึ้นมา ณ เวลานั้น ที่เค้าถาม เป็นดวง ๆ ดวงหนึ่งขึ้นมาแล้วก็อ่านไปตามปกติ ว่าเป็นอย่างไร ท่านสามารถนำศูนย์รังสี และจุดอิทธิพลเข้ามาช่วยด้วยก็ได้ เป็นดวงที่ต้องฝึกและใช้ความชำนาญพอสมควร ในกรณีถามเรื่องของหาย หรือความเจ็บป่วย ดาวในพื้นดวงมันก็จะบอกว่าหายหรือไม่ ได้ของคืนหรือไม่ โดยยึดหลักดาวดีดาวร้ายเป็นตัวบอกเหตุการณ์สำคัญ ถ้าเค้าถามว่าจะหายป่วยไหมเช่นถามญาติที่กำลังป่วยอยู่ ในห้อง I C U ว่าจะรอดไหม เราก็ดูดาวเสาร์ หรือตั้งจุดถึงแก่กรรมลงไป ถ้าในพื้นดวงมีดาวร้ายมาชุมนุมกับจุดเจ้าชะตามาก ๆ ก็จะแปลได้ว่ามีโอกาสรอดยาก แต่ถ้ามีดาวดีมาถึงจุดเจ้าชะตามากก็มีโอกาสหายได้ แต่ถ้าเค้ามาหาเราโดยไม่บอกอะไรเลย ให้ตั้งดวงขึ้นมา ณ วันเวลาที่เค้าเดินเข้ามาหาเรา และก็อ่านว่าจันทร์ในดวงการชะตาว่าถึงดาวอะไรเค้าก็จะมาหาในเรื่องนั้น ๆ ถ้าเราทายได้ตรงแล้วค่ายไปตั้งศูนย์รังสีและจุดอิทธิพลหารายละเอียดอีกครั้ง แต่อย่าลืมว่าท่านต้องเจ้าใจในการพยากรณ์ชนิดนี้เสียก่อนเพราะจะเข้าใจยากสักนิดการตีดาวเป็นเรื่องสำคัญมาก เช่นเวลาที่เค้ามาถาม จันทร์ในพื้นดวงที่เราตั้งขึ้นถึงศุกร์ เราก็อาจบอกไปว่าเค้ามาถามเรื่องเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว หรือความรัก หรือการเงินก็ได้ และไม่ควรดูจันทร์ดวงเดียวควรตรวจจุดเจ้าชะตาให้หมดก่อนให้คำพยากรณ์ออกไปเพื่อเป็นการให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น แม้กระทั้งจุดลัคนา และเมริเดียนก็บอกถึงเรื่องที่เค้ามาถามได้เช่นเดียวกัน ดวงนี้เราสามรถนำมาใช้ในการที่เค้าถามเรื่องเค้าจะออกรถยนต์ดีไหม จะคิดสร้างบ้านดีไหม เราก็สามารถตั้งดวงตอนที่เค้าถามขึ้นมาได้ว่าดีหรือไม่ดี หรือดูว่าของหายจะได้คืนหรือไม่เราก็สามารถตั้งดวงการชะตานี้ขึ้นมาถามปัญหาก็ได้ เป็นโหราศาสตร์ชั้นสูงขึ้นมาหน่อยที่ผู้พยากรณ์ต้องใช้ความชำนาญอย่างมากในการพยากณ์สำหรับมือใหม่ยังไม่แนะนำให้ตั้งดวงการชะตาเพราะดูยากสักนิดอาจพลาดได้ควรมีความชำนาญพอสมควรก่อนแล้วค่อยหัดอ่าน แต่ถ้าท่านอยากเป็นเร็วก็ตั้งดวงการชะตาให้บ่อย ๆ จนเกิดความชำนาญมากขึ้น ก็จะทำให้ท่านเป็นนักพยากรณ์ที่แม่นยำได้เช่นกัน เพราะโหราศาสตร์ยูเรเนียนสามารถบอกท่านได้ทุกเรื่องถ้าท่านเข้าถึงหลักความจริงของดวงดาวบนท้องฟ้า ท้องฟ้าบอกอะไรเราก็อ่านไปตามฟ้าบอก ถ้าฟ้าไม่บอกก็ไม่ควรอ่านออกไป
บทที่
611
การพยากรณ์จร
ทั่วไป การพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ ต้องการทราบ สิ่ง 3 ประการ คือ
1. เหตุการณ์ (อะไร)
2. สถานที่ (ที่ไหน)
3. เวลา (เมื่อใด)
การพยากรณ์จรมีภารกิจคือ ปฏิบัติเพื่อ หา เวลา ที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏในดวงชะตากำเนิดอุบัติขึ้น ว่าเกิดเมื่อใด
กฎสำคัญในการพยากรณ์จร ซึ่งใช้เป็นมรดกตกทอดกันมาจนทุกวันนี้ และยังคงทันสมัยเสมอมีอยู่ 2 กฎ ดังต่อไปนี้
1.1 เหตุการณ์ที่จะอุบัติขึ้นโดยอิทธิพลของดาวพระเคราะห์จร ในการพยากรณ์จรนั้น จะต้องมีอยู่แล้ว ในดวงชะตากำเนิด
ตัวอย่าง เช่น หากในดวงชะตากำเนิดบอกว่า เจ้าชะตาเป็นบุคคลยากจนหาเช้ากินค่ำดังนั้น ถึงแม้ในดวงชะตะจรจะให้ข่าวสารว่า ในปีนี้เจ้าชะตาจำรวยใหญ่ ก็ตาม เจ้าชะตาก็ย่อยร่ำรวยตามสิ่งบอกเหตุจากดวงจรนั้นไม่ได้ เพราะดวงชะตากำเนิดบอกว่า เขาเป็นคนจนเขาย่อมจะอยู่ในสภาพจนอยู่เช่นนั้น และในกรณีเช่นนี้ ผลดีอันเกิดจากอิทธิพลของดาวก็คงอาจมาในรูป ดังเช่น สายบายใจขึ้น หรืออ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้น ดังนี้เป็นต้น
1.2 เหตุการณ์ต่าง ๆ จะอุบัติขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ ดาวจร โคจรมาอยู่ในตำแหน่งที่สอดคล้องกับ
ตำแหน่งเดิมในดวงชะตากำเนิด อันเป็นตำแหน่งที่ดาวดวงนั้น แสดงอิทธิพลให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นในดวงชะตา
ตัวอย่าง เช่น ในดวงชะตากำเนิด พฤหัส สถิตในเรือนที่ 10 ในดวงชะตาจร พฤหัสจรโคจรมาสถิตในเรือนที่ 10 ใหม่อีก หรือ อายเป็นในเรือน 1 4 7 ก็ได้ เหตุการณ์อันเกิดจากอิทธิพลของ พฤหัสในเรือนที่ 10 ก็จะอุบัติแก่เจ้าชะตา
หมายเหตุ
อย่าหลงผิดคิดไปว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งแต่ละคราวนั้น จะต้องเป็นเหตุการณ์สำคัญ เหมือน ๆ กันทุกคราวไป ในการพยาการณ์เกี่ยวกับ ความหนักเบาของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น มีการพยากรณ์ที่พิสดารมากไปกว่านี้ ซึ่งเราจะได้ทำการศึกษากันเป็นขั้น ๆ ไปโดยลำดับ
อย่างไรก็ดี เรื่อง การพยากรณ์จรนี้ เนื่องจากเป็นขบวนการใหญ่ ต้องทำการศึกษาอย่างจริงจัง และการพยากรณ์ทุกทฤษฏี ใช้ได้ทั้งสำหรับในยุคโหราศาสตร์ยุค ยูเรเนียน เพราะเฉพาะนั้น การพยากรณ์จรแบบพิสดาร ซึ่งต้องอาศัยพื้นฐานทางโหราศาสตร์สูงกว่านี้จึงต้องผ่านโหราศาสตร์ยูเรียนเสียก่อน
สำหรับในชั้นนี้ จะได้อธิบายแต่เฉพาะการพยากรณ์จร
โดยใช้ดาวจรปัจจุบัน ซึ่งมีตำแหน่งปรากฏอยู่บนท้องฟ้า เท่านั้น
และไม่สนใจการพยากรณ์จรอย่างอื่น
บทที่
612
ลำดับการตรวจดวงชะตา โดยพระเคราะห์สนธิ
1. ดูสัมพันธ์ของกลุ่มดาวที่น่าสนใจ ที่เด่น ซึ่งสัมพันธ์ ถึงจุดเจ้าชะตา
2. ตรวจ เมษ = อะไร
3. ตรวจ อาทิตย์ = อะไร
4. ตรวจ จันทร์ = อะไร
5. ตรวจ เมอริเดียน = อะไร
6. ตรวจ ลัคนา = อะไร
การตรวจทั่วไปนี้ มีความมุ่งหมายเพื่อพิจารณาถึง แนวโน้ม ของชีวิตโดยทั่ว ๆ ไป ของเจ้าชะตา
ตรวจตาม ผลของการอุปมาที่ได้รับจากการตรวจขั้นที่ 1
ใช้จุดอิทธิพลแสดงอาชีพต่างๆ ตรวจเพื่อนยืนยันผลจากการอุปมา
ตรวจความรุ่งเรือง ความเจริญก้าวหน้า โดยความสัมพันธ์ของ
พฤหัส จุดเจ้าชะตา อังคาร มฤตยู พลูโต เซอุส โครโนส อาพอลลอน วัลคานุส
ระยะวังกะ 5-10 ลิปดา
พิจารณาจากการตรวจในขั้นที่ 2 แต่เพ่งเล็ง พฤหัส/มฤตยู หรือ จุด “ การเงิน “ อื่นๆ
ขั้นที่4 ตรวจครอบครัวและความรัก
ตรวจการมี บ้าน ของตนเอง โดย ใช้จุด พฤหัส/เสาร์ หรือ พฤหัส + เสาร์ สัมพันธ์กับ จุดเจ้าชะตา หรือไม่
ตรวจ ภรรยา โดย
ดูจากจันทร์ ทำมุมถึงดาวดีหรือไม่ดี หรือ จุดที่แปลว่า ภรรยาก็ได้ เพื่อเป็นการยืนยัน
ตรวจสามี โดย
อาทิตย์ ทำมุมถึงดาวดีหรือไม่ดี หรือจุดที่แปลว่า สามี เพื่อเป็นการยืนยัน
ตรวจครอบครัว โดย
ใช้จุด คิวปิโด = จุดเจ้าชะตา /… อะไร
จุดเจ้าชะตา = คิวปิโด/…อะไร
จุดเจ้าชะตา/คิวปิโด = อะไร (ปัจจัยเดี่ยว)
อาทิตย์/จันทร์ = อะไร (ปัจจัยเดี่ยว)
ตรวจความรัก โดย
ศุกร์ = จุดเจ้าชะตา/… อะไร
จุดเจ้าชะตา = ศุกร์/… อะไร
จุดเจ้าชะตา/ศุกร์ = อะไร (ปัจจัยเดี่ยว ๆ )
ตรวจความเป็นโสด ไม่แต่งงาน หรือแต่งงานไม่ได้
ใช้จุดอิทธิพล ดังต่อไปนี้
เสาร์ + พูลโต – คิวปิโด = เนปจูน
เนปจูน + คิวปิโด – ลัคนา =ลัคนา หรือ = จุดเจ้าชะตาอะไรก็ได้
พูลโต + ฮาเดส – คิวปิโด หรือ =คิวปิโด หรือ = จุดเจ้าชะตา
ตรวจการหย่าร้าง
มีจุดอิทธิพลแสดง การหย่าร้าง อยู่หลายชุด แต่ที่สำคัญควรจำให้ได้มี
เสาร์ + พลูโต – คิวปิโด ( = คิวปิโด หรือ = จุดเจ้าชะตา )
เสาร์ + คิวปิโด – พลูโต ( =พลูโต หรือ =จุดเจ้าชะตา )
พลูโต + คิวปิโด – เสาร์ ( =เสาร์ หรือ = จุดเจ้าชะตา )
นอกจากนี้ยังมีจุดอิทธิพลอื่น ๆ ดังเช่น
เสาร์ + คิวปิโด หรือ เสาร์/คิวปิโด สัมพันธ์กับจุดเจ้าชะตา
เสาร์ + คิวปิโด – อาพอลลอน
ลัคนา + ฮาเดส – คิวปิโด
ราหู + เสาร์ – คิวปิโด
อังคาร + เสาร์ – คิวปิโด
เสาร์ + เสาร์ – คิวปิโด
พฤหัส + เสาร์ – คิวปิโด
อังคาร + แอดเมตอส – คิวปิโด
ตรวจการพบเนื้อคู่ (ใช้ในการพยากรณ์จร )
การพบเนื้อคู่จะเกิดขึ้นเมื่อ จุดเจ้าชะตา ที่แรง ๆ โคจรไปสัมพันธ์กับจุด
อังคาร + คิวปิโด-ราหู
ราหู + มฤตยู – คิวปิโด
มฤตยู + คิวปิโด – ราหู
ราหู + จันทร์ – คิวปิโด
อังคาร + คิวปิโด – ลัคนา
ศุกร์ + คิวปิโด – อังคาร
ราหู + คิวปิโด – ศุกร์
ราหู + ศุกร์ – คิวปิโด
ศุกร์ + คิวปิโด – ราหู
จุดอิทธิพลแสดงถึง การพบเนื้อคู่ นี้ หากสัมพันธ์ถึงกัน หลาย ๆ จุด การ พยากรณ์ก็จะ
ยิ่งแม่นยำขึ้น
การตรวจโรคชนิดเฉียบพลัน
ตั้งจานหมุนที่ จุด อังคาร/เนปจูน หรือ อังคาร/อาเดส ถึงจุดเจ้าชะตาหรือไม่
การตรวจโรคชนิดเรื้อรัง
ตังจานหมุนที่ อังคาร/เสาร์ เสาร์/เนปจูน เสาร์/ฮาเดส ถึงจุดเจ้าชะตาหรือไม่
การตรวจโรคโดยการตั้งจุดคำนวณดังกล่าวนี้ เป็นการตรวจขั้นต้นโดยทั่ว ๆ ไป หาก
ต้องการละเอียด ให้ใช้จุดอิทธิพลตามที่มีอยู่ในคัมภีร์ฯ ซึ่งมีอยู่มากชนิดมาร่วมด้วย
เช่น โรคมะเร็ง เสาร์+ เนปจูน-ฮาเดส เป็นต้น
ทางโหราศาสตร์ จะพิจารณาว่า คนเราอาจประสบความเจ็บไข้ได้ป่วยได้ทั้ง
กาย คือ อาทิตย์ ได้แก่การป่วยเป็นโรคทั่วๆ ไป ถ้าเป็นดวงชะตาชาย จันทร์ คือ มารดา ภรรยา
ทางจิต คือ จันทร์ หรือทางใจ เช่น เศร้าเสียใจ ตกใจง่าย ดวงชะตาหญิงจะถือว่าจันทร์
ก็เป็นกายสังขารของเขาด้วยเช่นกัน
ทางสัญชาตญาณ เมอริเดียน เช่น วิกลจริต สติไม่ปกติ
บทที่
613
การโคจรของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาล
ลัคนาและเมริเดียน ใช้เวลา 2-3 นาทีต่อ
1 องศา และใช้เวลา 1 วันรอบจักรราศี
จันทร์ ใช้เวลา 2-3 วัน ต่อ 1 ราศี
อาทิตย์ ใช้เวลา 1 เดือนต่อ 1 ราศี
พุธ ใช้เวลา 1 เดือนต่อ 1 ราศี
ศุกร์ ใช้เวลา 1 เดือนต่อ 1 ราศี
อังคาร ใช้เวลา 1 เดือนครึ่ง ต่อ 1 ราศี
พฤหัส ใช้เวลา 1 ปี ต่อ 1 ราศี
เสาร์ ใช้เวลา 2 ปีครึ่งต่อ 1 ราศี
มฤตยู ใช้เวลา 7 ปีต่อ 1 ราศี
เนปจูน ใช้เวลา 14 ปี ต่อ 1 ราศี
พลูโต ใช้เวลา 30 ปีต่อ 1ราศี
ดาวทิพย์จะโคจรช้ามากกว่าดาวในระบบสุริยะ
CU
คิวปิโด
= ดาวศุกร์
โคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลา 262
ปี
HA ฮาเดส = ดาวเสาร์ โคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลา 360 ปี
ZE เซอุส = ดาวอังคาร โคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลา 455 ปี
KR โครโนส = อาทิตย์ โคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลา 521 ปี
บทที่
614
ความหมายของเรือนชะตาแต่ละเรือน
ที่คู่กัน
เรานำไปใช้ในการดูการเคลื่อนไหวของเรือนต่าง ๆ
ที่มีความเกี่ยวข้องกันท่านควรจำไว้ให้ได้เพราะจะบอกทางแก้ไข
หรือการถ่ายเทจากสิ่งหนึ่งไปยังอีกสิ่งหนึ่งส่วนนี้มีความสำคัญในการดูเกี่ยวกับเรื่องเรือนชะตาได้
ท่านจะได้รู้ทิศทางในการ
พยากรณ์ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ก็จะเหมือนราศีตรงข้ามแต่ความหมายต่างกันไปไม่มาก
บทที่ 615
อายนางศ (Precession)
คือ "ปรากฏการณ์"
การโคจรของ "จุดวิษุวัต" หรือจุดเมษ
ซึ่งโคจรทิศทางย้อนจักรราศี "ค่าของอายนางศ" (นิยมเรียกสั้น
ๆ ว่า "อายนางศ" เฉย ๆ )
คือ "ง่ามมุม"
ที่จุดศูนย์กลางของโลก จาก "จุดตั้งต้นจักรราศีนิรายนะ"
โดยนับเวียนตามเข็ม เนื่องจาก จุดวิษุวัต จะโคจรย้อนจักรราศีประมาณ
ปีละ 55 ฟิลิบดา ดังนั้น ค่าอายนางศ จึงเพิ่มขึ้นทุกปี
ค่าโดยประมาณ อยู่ที่ 23.50
องศา ดังนั้นราศีของไทยก็จะต่างกับราศีของสากล
ที่ใช้ราศีแบบคงที่
แต่ไทยใช้ราศีเคลื่อนที่ไปตามจุดเมษ ดังนั้นตำแหน่งดาว ก็จะต่างๆ กัน ไป กับไทย แต่ในโหราศาสตร์ยูเรเนียนใช้แบบ (สายนะ)
เราใช้แบบราศีคงที่
ดังนั้นตำแหน่งดาวเลยไม่ตรงกันไปเกือบหนึ่งราศี
อันนี้เป็นเหตุว่าคนที่ไปดูดวงแบบไทย ดาวก็จะต่างกับสากล โดยสิ้นเชิง
เนื่องจากดวงไทยใช้การดูแบบเรือนชะตาเป็นส่วนมาก ถึงถือว่าสำคัญดาวในราศี ในเรือน
แต่ของระบบราศีคงที่ ส่วนมากเราจะให้การวัดมุมเอาและราศีเป็นหลัก
จึงไม่มีผลในการคำนวณตำแหน่งดาวบนท้องฟ้า
แต่ถ้ามาดูเกี่ยวกับราศีแล้วดาวจะต่างกันหนึ่งราศี
ส่วนนี้จึงทำให้คนที่ไปดูดวงไทยจะบอกเกิดราศีหนึ่ง มาดูแบบสากลก็จะบอกอีกแบบหนึ่ง
อันเกิดจากแต่ละตำราใช้ระบบต่างกันนั้นเอง แต่ผลอันไหนที่แม่นยำมากกว่า
ตามความคิดของข้าพเจ้าคิดว่า แล้วแต่ผู้พยากรณ์ เอง ว่าจะเลือกใช้แบบไหน
แต่ดวงไทยมีแค่ลัคนาเป็นสำคัญ เขาจะดูว่าลัคนาไปตกราศีใดคนนั้นก็จะเป็นคนราศีนั้น
แต่ของเราจะใช้หลักการดูดวงอาทิตย์เป็นหลักว่าอยู่ราศีไหนก็จะเป็นราศีนั้น
ซึ่งใช้กันทั่วโลก มานานแสนนาน จุดเปลี่ยนของอาทิตย์ในราศีก็จะต่างกันไป
เราจะเปลี่ยนทึก 21 22 ของทุกเดือน แต่ไทย ก็จะไปเปลี่ยนทุก
วันที่ 14 15 ของทุกเดือน ดังนั้นราหู หรือดาวต่าง ๆ
ก็จะผิดกันไปหมด ท่านต้องยึดอันใดอันหนึ่งในการที่เราจะเป็นนักพยากรณ์
จงเลือกเอานะครับ
บทที่ 616
การวัดมุมกับเรือนชะตา
การวัดมุมจะบอกรายละเอียดให้กับเรือนชะตาได้มากขึ้น
หรือเป็นการขยายการทำนายได้มากขึ้นไม่อยู่กับเรือนเพียงอย่างเดียว
ซึ่งอาจทำให้การตีความแคบไป
เราสามารถเอามุมมาใช้ในเรือนชะตาได้ไม่มีข้อจำกัดในการทำนาย ผสมกันได้
สามาอ่านออกมาทั้งมุมและเรือนได้ละเอียดมากขึ้น ตรงนี้เป็นจุดเด่นที่เรานำมุมมาใช้
ทำให้เรือนมีความละเอียดมากขึ้น ยกตัวอย่าง พฤหัสอยู่ในเรือนที่ สอง แต่มีเสาร์
45
กับพฤหัสพื้นดวงก็อาจแปลได้ว่าอาจมีการเสียเงินหรือเก็บเงินไม่อยู่ เป็นต้น
เราสามารถดูในพื้นดวง และดาวจรได้ว่าช่วงนี้มีอะไรจรเข้าเรือนอะไร
เราส่วนมากจะใช้เรือนลัคนาเป็นหลักเพราะเราจะดูสภาพทั่ว ๆ ไป ใกล้ตัว
ซึ่งเป็นตัวปรุงแต่งตัวเราให้เป็นไปตามดาวจรหรือลัคนานั่นเอง
สภาพเป็นอย่างไรจิตหรือตัวเราก็เป็นอย่างนั้น ดังนั้นเรือน
as
เป็นเรือนสำคัญที่จะบ่งบอกถึงสภาพการของเจ้าชะตาได้ว่าเจ้าชะตาเกิดอะไรขึ้น ณ
ขณะนั้น แล้วค่อยมาดูเรือนอื่นต่อไปอีก ส่วนเรือจันทร์ อาทิตย์ ฯลฯ
ก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน อ่านในทำนองเดียวกัน แต่ขอให้ดูเรือนลัคนาเป็นหลักก่อน
ท่านจะได้ไม่หลงทางในการดูเรือน เพราะสภาพแวดล้อมเป็น
ตัวปรุ่งแต่งจิตใจของเจ้าชะตาให้เป็นไปตามดาวจร ที่ผ่านมาในเรือนนั้น ๆ
และก็ลงลึกไปดูว่าเจ้าชะตามีผลอะไรกับดาวนั้นหรือไม่บางทีก็ไม่มีอะไร
เช่นเสาร์มาเรือนที่หนึ่งเจ้าชะตากลับไม่มีอะไรแต่ไปเกิดกับคนใกล้ชิดแทนก็ได้
อันนี้เป็นผลมาจากการดูให้ลึกลงไปอีกแต่อย่างน้อย ๆ
ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวกับตัวเจ้าชะตาบ้างไม่มากก็น้อย
เช่นดาวพฤหัสจรเข้าเรือนที่สองเจ้าชะตาต้องมีโชคอะไรบางอย่าง
แต่อาจไปเกิดกับภรรยาก็ได้ เราก็ตามไปดูเรือนจันทร์ว่ามีอะไรหรือไม่
อย่างนี้เป็นต้น สภาพแวดล้อมมาแล้ว
แต่จะไปลงกับใครก็อีกเรื่องแต่เป็นเรื่องดีเจ้าชะตาก็จะมีส่วนด้วย
เพราะเรือนลัคนาคือคนใกล้ชิด ก็ต้องมีส่วนแบ่งมาถึงเราไม่มากก็น้อย
ส่วนกรรมนั้นแบ่งกันไม่ได้แต่บุญพอแบ่งกันได้
ยกตัวอย่างดาวเสาร์คือกรรมจากชาติที่แล้วมา เราจะเอาไปให้คนอื่นไม่ได้
แต่เราสามารถแบ่งโชคให้คนใกล้ชิดได้เช่นซื้อของให้กับคนใกล้ชิดถ้าเรามีโชคเป็นต้น
ตัวอย่างนี้เป็นการยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
ถ้าเรามีเงินเราก็สามารถแบ่งให้คนอื่นได้
แต่ถ้าเราไม่มีเงินเราก็ไม่สามารถแบ่งสิ่งดีๆให้ได้ เหมือนผีมาขอส่วนบุญจากคนเป็น
เพราะเค้าไม่สามารถทำบุญได้ คงพอเข้าใจเรืองบุญ กรรม
เป็นเรื่องจำเป็นในการทำนายดวงด้วย วิชาโหราศาสตร์มีไว้เพื่อดูกรรมบุญหรือ
อาจใช่แต่จริงแล้วโหราศาสตร์เป็นการทำให้คนไม่ประมาทมากกว่า
ถ้าดาวไม่ดีเข้ามาก็ควรทำตัวอย่างไรที่จะรับมือกับกรรมนั้น ๆ ได้
อันนี้เป็นเรื่องสำคัญของการที่เรามาเรียนเพื่อการเอาตัวรอดจากหนักเป็นเบา
แต่ทุกคนหนีกรรมไม่ได้แต่ทำให้เบาลงได้ หรือท่านจะรับเต็ม ๆ ก็ได้ จะได้หมดไป
แต่บางทีมันก็หนักเกินไปที่จะรับได้ในชาตินี้เราจึงควรแบ่งไปรับชาติหน้าบ้างก็ดี
เพราะเราอยู่กับปัจจุบัน จงทำปัจจุบันให้ดีทีสุดทำตัวให้พ้นภัยทั้งหลาย
เหมือนกับตอนนี้มีหวัดระบาดเราจะเอาตัวเข้าไปเสียงหรือ
เราก็หาที่ปลอดภัยไม่ดีกว่าหรือ
อันนี้เป็นการยกตัวอย่างจากหนักเป็นเบาหรือไม่เป็นเลยก็ได้ถ้ารู้จักป้องกันตัวเองจากกรรมที่เราทำมา
แต่มันต้องเกิดแต่ให้มันเกิดตอนที่เราพร้อมที่จะรับได้ไม่ดีกว่าหรือ
จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด
บทที่ 617
วันนี้เราเอาเรื่องของการถามแบบเจาะเรื่องเราจะต้องใช้ตัวช่วยในการดู คือการดูแบบละเอียดเป็นเรื่องไป เราจะใช้ ดาว ศูนย์รังสี และ จุดอิทธิพลที่ใช้ในการดูเรื่องต่าง ๆ ที่ท่านควรจดจำไว้ใช้ในการนำไปทำนายเรื่องต่าง ๆ ที่มีความถามมากความแรงเราจะดูจากดาวเป็นดวง ๆ ก่อน แล้วมาดู ศูนย์รังสี และจุดอิทธิพลที่มีจุดเจ้าชะตาผสมอยู่จะให้ผลแรงกว่าจุดที่ไม่มีจุดเจ้าชะตาผสมอยู่
การงาน
Ma , ju, ap, ju/k rap/vu
โชคจากราชการ
Ar+ju-kr, su+ju-kr, ve+ju-kr, ju+ur-kr
โชคจากอำนาจรัฐ
Ma+kr-ju, ju+kr-vu, ju+vu-kr, su+vu-ju
โชคจากที่ดิน
Mc+ju-ad, mc+ad-ju, ar+ad-ju, su+ad-ju
โชคจาการค้า
Mc+ju-ap,ar+ju-ap, ma+ap-ju, ju+ap-ve,ze+ap-ju,mc+ap-ju,su+ju-ap,ju+ap-mc
Cu+ap-ju
โชคจากการอุตสาหกรรม
Ar+ju-ap, ma+ap-ju, ze+ap-ju
การเงิน
ตรวจดูดาว ju, ju/ur,ar+ar-ju,ju+ju-ap
โชคลาภ
Ju, ar/ju , su+ju-ap, ju+cu-ap, ar+ar-ju
เงินจำนวนมหาศาล
Ar+ap-ju, ju+ju-ap, ju+ur-ap, ju+ne-ap, ju+vu-ap, ju/ap
รับเงินที่ใช้กันทั่วไป
No+kr-ju
บทที่ 618
จุดเจ้าชะตา 6 จุด มีความหมายทางโหราศาสตร์
ได้แบ่งออกชุด "ฉัน" คือ จันทร์ เมอริเดียน
อาทิตย์ กับ จุด " เธอ" คือ
เมษ ราหู ลัคนา ซึ่ง จุดเจ้าชะตา ชุด เธอ นี้ล้วนไม่ใช่ "ฉัน"
คือไม่ใช้เจ้าชะตาหรือตัวเจ้าชะตาโดยตรง และยิ่งไปกว่านั้น ทั้ง
จุด "ฉัน" และ ชุด "เธอ"
ยังจำแนกออกไปอีกเป็น 3 ระดับด้วยกัน คือ
ระดับจิตสังขาร ได้แก่ จันทร์ เมษ
ระดับสัญชาตญาณ ได้แก่ เมริเดียน ราหู
ระดับกายสังขาร ได้แก่ อาทิตย์ ลัคนา
จุดเจ้าชะตาทั้ง 6 จุด ตามปกติ จะไม่แสดงอิทธิพล
แต่จะเป็นจุดที่ รับอิทธิพลจากดาวพระเคราะห์ ที่มีความสัมพันธ์มาถึง
เพราะเหตุนี้เอง เราจึงเรียกว่า จุดเจ้าชะตา
ในบรรดา จุดเจ้าชะตา ทั้ง 6 นี้ เมริเดียน สำคัญที่สุด
ในดวงชะตา
ดาวพระเคราะห์ดวงเดียวกัน ย่อมจะแสดงอิทธิพลต่อ แต่ละจุดเจ้าชะตา เหมือนกันไม่ได้
นี่คือหลัก สามัญสำนึก
เพราะเหตุนี้เอง ดาวพระเคราะห์ ดวงเดียวกัน จึงมีความหมายทางโหราศาสตร์ หลายอย่าง
ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมของจุดเจ้าชะตานั้น ๆ เช่น ดาวพุธ แปลว่า ความคิด
การเคลื่อนไหว การเขียน การพูด ฯลฯ
แต่ถ้าไปประกอบกับจุดเจ้าชะตาจัดใดจุดหนึ่งความหมายก็จะเปลี่ยนไปทันทีเช่น
ใช้กับ เมริเดียน ควรแปลว่า ความคิด (เพราะเป็นเรื่องของสัญชาติญาณ)
ใช้กับ จันทร์
ควรแปลว่า ความเข้าใจ (เพราะเป็นเรื่องของการทำงานของมันสมอง)
ใช้กับ อาทิตย์ ควรแปลว่า
ความคล่องแคล้ว (เพราะเป็นเรื่องของทางกาย)
ที่กล่าวมาเป็นพุธของ "ฉัน"
ซึ่งไม่เกี่ยวกับ "เธอ"
ถ้าท่านต้องการความหมายดาวพุธของ "เธอ"
ย่อมมีความหมายพัวพันไปถึง เธอ ด้วย
จึงจะถูกต้องตามหลักทางด้านจิตวิทยา กล่าวคือ
ใช้กับ เมษ ควรแปลว่า ข่าว (
เพราะเกี่ยวกับบุคคลทั่ว ๆ ไป ทางใจ)
ใช้กับ ราหู ควรแปลว่า จดหมาย (เพราะเกี่ยวกับสัญชาตญาณแห่งการรวมกลุ่ม)
ใช้กับ ลัคนา ควรแปลว่า พูด (
เพราะเป็นการติดต่อกับผู้ใกล้ชิด)
บทที่ 619
วันนี้เราจะมาคุยเรื่องจุดอิทธิพลหายไปสองวันได้ไปโคราชมา
ได้ไปเจอหมอจับเส้น พอดีครูมีอาหารปวดแขน
สองวันที่ผ่านมาได้เข้าไปให้หมอจับเส้นพื้นบ้าน ทดสอบดู
ก็ไม่น่าเชื่อว่าสองวันที่ไปรักษาอาหารแขนชา
เค้าบอกว่าใช้แขนมากนั่งนานมากจะมีอาการนี้
หมอที่จับแนะนำให้รีบรักษาก่อนที่จะเป็นมากกว่านี้ ใครที่มีอาการปวดแขนชาที่นิ้ว
รับรองว่าหายแต่อาจต้องใช้เวลานิดหนึ่ง หมอเขาใช้เวลารักษา 10
นาที เอง ก็ดีขึ้นไม่น่าเชื่อ ครูเป็นมาหลายปี
คิดว่าอาทิตย์หน้าจะไปเข้ารักษาจริงจังจะได้หายสักที ตอนนี้ ha
มา ก็เลยป่วยหลายอย่าง
อาจเป็นจุดเริ่มในการรักษาตอนนี้ดีมันก็จะหายกันคราวนี้
เอาเรามาเริ่มคุยเข้าเรื่องกัน
จุดอิทธิพล
ครูได้คุยเรื่องจุด อิทธิพลมาแล้ว ตอนนี้มารู้ที่มาของจุดนี้กัน คำว่า
จุดอิทธิพล ตามความหมายในวิชาโหราศาสตร์ยูเรเนียน หมายถึง จุด บน ระวิมรรค (หรือในดวงชะตา)
ซึ่ง เกิดจากการสนธิกรรมกัน (โดยมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนอันหนึ่ง
) ระหว่างดาวพระเคราะห์หรือปัจจัยต่าง ๆ
จุดอิทธิพล มีอยู่เป็นนับไม่ถ้วนในดวงชะตา และมี อิทธิพล เสมือ เป็น ดาวพระเคราะห์
ดวงหนึ่ง คุณสมบัติ หรือมี ธรรมชาติ เป็นคุณสมบัติหรือธรรมชาติ "ผสม"
ระหว่างดาวพระเคราะห์หรือปัจจัยที่ประกอบกันเป็นจุดอิทธิพลนั้น
อย่างไรก็ดี ยังมี จุดอิทธิพล ในความหมายอย่างกว้าง ในวงการโหราศาสตร์ทั่วๆ ไป
อีกเหมือนกัน จุดอิทธิพลในความหมายกว้าง หมายถึง จุดใด ๆ ก็ตามบนท้องฟ้า
ที่มีอิทธิพล ซึ่งจุดอิทธิพลตามความหมายนี้ โหราศาสตร์ยูเรเนียน
จะไม่ขอกล่าวถึงในขณะนี้ แต่ก็อาจสันนิษฐานไว้ล่วงหน้าว่าคงจะเป็นจุดอิทธิพลที่
แจกรูป ไป จากจุดอิทธิพล จำพวก ต่าง ๆ ดังจะได้กว่าในต่อไปนี้
บทที่ 620
ท่านอาจได้ยิน บางท่านกล่าวว่า อันจุดอิทธิพลนี้ ได้มีใช้กันมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว
ดังเช่น จุด เมอริเดียน จุด ลัคนา ราหู ฯลฯ สำหรับเรื่องนี้ ของชี้แจงว่า
ไม่เป็นความจริง ที่มีบางคนกล่าวเช่นนั้น ก็เพราะ
เขามิได้ทำการศึกษาวิชาโหราศาสตร์อย่างแท้จริง และไม่ทราบว่า
"จัดอิทธิพล"
ในความหมายของโหราศาสตร์ยูเรเนียน นั้นเป็นเป็นอย่างไร เขาเพียง
ทึกทักเอาเอง ตามหลักสามัญสำนึกของบุคคลทั่ว ๆ ไป ว่า คงจะหมายถึง จุด
อิทธิพลในความหมายอย่างกว้าง ๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว ความเข้าใจเช่นนั้นจึงเกิดขึ้น
ต่อไปนี้ จะได้กล่าวถึง จุดอิทธิพล ตามแนวความคิดของท่าน อัลเฟรด วิตเตอ งานของท่าน
ซึ่งแสดงไว้ในบทความเรื่อง "
สัมพันธภาพของจุดอิทธิพลทั้งหลายที่มีต่อกัน "
ท่านได้พยายามที่จะแพร่ความรู้ในวิชาโหราศาสตร์ของท่านเกี่ยวกับ จุดอิทธิพล
นี้ให้ทราบ โดยวิธี พิจารณาแบ่ง จุด อิทธิพล ออกเป็น 6 พวก
ด้วยกัน ดังต่อไปนี้
บทที่ 621
จุดอิทธิพล
จำพวกที่ 1 ได้แก่
จุดสะท้อนของดาวพระเคราะห์ โดย แกน กรกฎ - มังกร
สูตร กรกฎ+ กรกฎ - ดาว หรือ มังกร+มังกร
- ดาว
จำพวกที่ 2 ได้แก่ ศูนย์รังสี หรือก็คือ จุด
บนระวิมรรค ซึ่งอยู่ตรงเส้นแบ่งครึ่งมุมระหว่าง ดาวพระเคราะห์ 2
ดวง หรือ ปัจจัย 2 ปัจจัย ใด ๆ ตรงจุดนี้ อิทธิพลของปัจจัย
หรือดาวพระเคราะห์ คู่นั้นๆ จะมารวมกัน สูตร A+B =
ศูนย์รังสี
และเขียนย่อว่า A/B หรือ A/B เช่น
su/ju เป็นต้น
ปัจจัยที่ 3 ได้แก่
จุดสะท้อนของดาวพระเคราะห์หรือปัจจัยดวงหนึ่ง โดยมีดาวพระเคราะห์
หรือปัจจัยดวงหนึ่ง โดยมีดาวพระเคราะห์หรือปัจจัยดวงหนึ่งเป็นแกน ความจริงพวกที่
3 นี้ก็คือ พวกที่ 1 นั่งเอง
แต่เป็นกรณีที่มี ดาวพระเคราะห์ หรือปัจจัย สถิตที่ แกน กรกฎ -
มังกร สูตร ดาว A + ดาว A -
ดาว B
ปัจจัยที่ 4 ได้แก่ ผลบวก ของดาวพระเคราะห์
หรือปัจจัย 2 ดวง ทั้งนี้ รวมทั้ง "จุดภายหน้าด้วย"
สูตร ดาว A + ดาว B -
เมษ (เมษ คือ 0)
บทที่ 622
การแปลความหมายของจุดอิทธิพล
ความหมายทั่ว ๆ ไป ของ จุดอิทธิพล ก็คือ ความหมายผสม ระหว่าง ปัจจัย
ที่ประกอบกันเป็นจุดอิทธิพล เช่น su ma ju
ประกอบกันเป็น "จุดอิทธิพล"
จุดหนึ่ง จุดอิทธิพลจุดนี้ จะมีความหมายทางโหราศาสตร์
เป็นความหมายผสม ระหว่าง su ma ju (อาทิตย์ คือกายสังขาร
อังคาร คือ กิจกรรม พฤหัส คือ โชคลาภ เมื่อผสมกัน ก็หมายถึง
กิจกรรมทางกายสังขารที่เกี่ยวกับโชคลาภ อะไรทำนองนี้)
อย่าไรก็ดี โดยกาเริ่มของท่าน อัลเฟรด วิตเตอ
ได้จัดทำบัญชีบอกความหมายทาง โหราศาสตร์ของจุดอิทธิพลต่าง ๆ เอาไว้แล้ว
โดยพร้อมสรรพ เพื่อใช้เป็นแนวทางการ พยากรณ์ดวงชะตา โดยอาศัย ทฤษฏีพระเคราะห์สนธิ
บัญชีนี้คือ "คัมภีร์สูตรพระเคราะห์สนธิ"
คัมภีร์นี้ จะเป็นผู้รับเป็นธุระในการ บอกความหมายของจุด อิทธิพล
ทั้งปวงที่จำเป็นแก่การพยากรณ์ดวงชะตา
แต่ถ้าท่านมีความเข้าใจท่านก็สามารถใช้การผสมดาวของตัวท่านเองก็ได้
แต่ให้อยู่ในแนวทางของท่าน อัลเฟรด วิตเตอ
แต่สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาอยากให้ท่านอ่านและทำความเข้าใจให้แน่ใจก่อนที่ท่านจะสร้างจุดอิทธิพลใหม่ขึ้นมาใช้เองได้
บทที่ 623
จุดอิทธิพล ที่เราใช้กันอยู่ จะมีทั้งหมด ห้าพันกว่าจุด ในพื้นดวง และจรอีก
ห้าพันกว่าจุด รวมกันแล้วก็เป็นหมื่นกว่าปัจจัยที่เราไม่สามารถมองเห็นได้
แต่ก็มีบางปัจจัยของจุดอิทธิพลที่ไม่จำเป็น มากนัก เราก็คงไม่ต้องไปสนใจมากนัก
เราจะดูเฉพาะจุดอิทธิพลที่เจ้าชะตาต้องการทราบเท่านั้นก็เพียงพอ
แต่ก็มีจุดอิทธิพลบางจุดที่จำเป็นในการตรวจเช็คก่อน เช่นจุด
ma+sa-no , sa+ne-ha ฯลฯ และจุดโรคต่าง ๆ ที่จำเป็น
เพราะเราจะได้สามารถเตียนเจ้าชะตาให้ระวังไว้ด้วยก็เป็นการดีกับเจ้าชะตาที่มาเช็คดวงกับเรา
ในทางปฏิบัติเราก็มีโปรแกรมที่สามารถ search point
ที่ติดมา ท่านสามารถดูได้ว่ามีจุดอิทธิพลแรง ๆ
อะไรทำมุมกับจุดเจ้าชะตาในพื้นดวงได้บ้าง ท่านสามารถตรวจเช็คได้อย่างละเอียด
ทั้งพื้นดวง และ จรรายปี รายเดือน รายวัน ได้ ถ้าฝึกใช้ดู
โปรแกรมนี้คิดขึ้นมาหลายปีแล้วแต่ไม่ค่อยได้ใช้กันมากนัก
เพราะมันจะทำให้ง่ายในการใช้งาน
เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่บอกจุดอิทธิพลที่เรามองไม่เห็นให้ทราบได้
พร้อมมีคำแปลให้เรียบร้อยแต่ท่านต้องอ่านและทำความเข้าใจเพราะภาษาเป็นภาษาไทยสมัยก่อนซึ่งนำมาจาก
คัมภีร์สูตรพระเคราะห์สนธิ
ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่เข้าไปแก้ไขสำนวนอะไรเพราะเป็นของเดินของท่านอาจารย์ อยู่แล้ว
จริงแล้วเราสามารถใช้โปรแกรมนี้แทน คัมภีร์สูตรพระเคราะห์สนธิได้เลย
แต่อยากให้ท่านใช้ความสามารถในการหาก่อน
เมื่อท่านทำความเข้าใจในเรื่องของปัจจัยต่าง ๆ ดีแล้วค่อยมาเล่นโปรแกรมนี้
จะทำให้ท่านทำงานได้ละเอียดมากขึ้น ไม่แล้วท่านจะไม่เข้าใจที่มาของจุดอิทธิพลเลย
บทที่ 624
วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องวัยทั้ง 5 ว่ามีวัยอะไรบ้าง
วัย 1 - 14 su+me
อาการเคลื่อนไหวภายนอกของกายสังขารนั้น ความเป็นเด็ก
su+pl
การเจริญเติบโตและพัฒนาการทางด้านใน วัยหนุ่มสาว
วัย 15 - 28 su+ve
วัยแห่งการแพร่พันธุ์และความรัก
su+cu
การตั้งครอบครัว การอยู่ร่วมกันทางกาย
วัย 29 - 42 su+ma
วัยที่แข็งแรงที่สุด ความสามารถในการทำงาน
su+vu ความแข็งแรงทางกาย
วัย 43 - 56 su+ju
การประสพความสำเร็จ
su+ap การมีเกียรติยศและชื่อเสียง
วัย 57-70 su+sa
ความชรา
su+ad ความตาย
วัยที่แสดงไว้นี้ เป็นอายุ โดยประมาณ เท่านั้น
การแสดงวัยทั้ง 5 ของโหราศาสตร์ ยูเรเนียน
คงเป็นไปในทำนองเดียวกับโหราศาสตร์ยุคศิลปะ
แต่ได้มีการแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาการทั้ง "ด้านนอก"
และ "ด้านใน"
ควบคู่กันไป
การดูเราก็เพียงหมุนดาววัยที่ต้องการไปที่ su พื้นดวง
เช่นต้องการทราบวัย ju เราก็หมุนดาว ju
ไปที่อาทิตย์พื้นดวง เราก็จะทราบความเป็นไปของวัน ju คือ
43-56 ปี หรือไปทับ จุดเมริเดียน หรือ เสาร์
บทที่ 625
วงจรชีวิตเป็นสองเท่า
เหตุการณ์ใด ๆ ก็ตาม ที่อุบัติขึ้นมาแล้ว ครั้งหนึ่ง ในชีวิต
เหตุการณ์ในจำพวกเดียวกันนี้ จะมีการเกิดขึ้นมาอีก ตอนอายุเป็นสองเท่า ของอายุ
ที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น
ดังตัวอย่าง เหตุการณ์เรื่องการ พลัดพราก (การพลัดพราก
ได้แก่ การจากที่อยู่หรือที่เรียน หรือ ญาติสนิท จากไปหรือถึงแก่กรรม )
เป็นต้น สมมุติว่า นาย A อุปสมบทเมื่ออายุ
22 ปี เช่นนี้ ซึ่งการอุปสมบทนี้ ทางโหราศาสตร์
ถือว่าเป็นการพลัดพรากด้วย และเป็นการพลัดพรากที่รุนแรง แสดงว่า เมื่อนาย A
อายุ 11 ปี ครึ่งหนึ่งของ 22
ปี นาย A
ก็จะประสบกับเหตุการณ์พลัดพรากที่สำคัญมาแล้วเช่นจากที่ที่เรียนหรือญาติสนิท
ถึงแก่กรรม และเมื่อตาย A อายุ 44
ปี สองเท่านของ 22 ปี
การพลัดพรากที่สำคัญก็จะอุบัติขึ้นแก่เขาอีก เหตุการณ์อื่น ๆ ก็คงทำนองเดียวกัน
เช่น อายุ 5 ขวบ ผ่าตัด อายุ 10
อุบัติเหตุ เป็นต้น กฎ นี้ นำไปใช้ในการพิจารณาเกี่ยวกับการ "ได้เลื่อนยศ"
หรือ ได้ตำแหน่งหรือ " มีลาภลอย "
ได้ โดยมีความแม่นยำมากว่า 99 เปอร์เซ็นต์
โดยไม่ต้องอาศัยดวงชะตา หาอาศัยดวงชะตาประกอบ จะมีความแม่นยำ ถึง 100
เปอร์เซ็นต์ ข้อสำคัญในการใช้กฎ นี้ คือ จะต้องพิจารณา เศษของเดือนของอายุด้วย เช่น
6 เดือน เมื่อเอา 2
คูณแล้วจะกลายเป็น 1 ปี
หากไม่คำนึงถึงเศษเดือนอาจพยากรณ์ผิดไป 1 ปีได้
อยากจะให้ท่าน เริ่มใช้กฎ นี้นำไปพยากรณ์ ตัวท่านเอง และบุคคลใกล้ชิดท่านก่อน
ให้ชิน ถ้ามีปัญหาถามครูได้ เหตุที่มาของกฎนี้ คงเป็นไปตามกฎเกณฑ์การพยากรณ์จร
ซึ่งท่านจะได้ทำการศึกษาต่อไปโดยละเอียดในวันหน้า เอาไปใช้ดูก่อนเวลาออกงาน
บทที่ 626
ความเป็นคู่ของราศี
ความเป็นคู่ ในที่นี้ หมายถึง ความเป็นสัมพันธ์ภาพอันแนบแน่น
ระหว่างราศีที่อยู่ตรงข้ามกัน ในวิชาโหราศาสตร์เรียกว่า "เล็งกัน"
อิทธิพลของราศีหนึ่ง ย่อมจะมีสัมพันธ์ภาพกัน
อิทธิพลของราศีที่เป็นคู่ หรือราศีที่อยู่ตรงกันข้ามกันตน อย่างแนบแน่นเสมอไป
ตัวอย่าง เช่น ราศีเมษ มีอิทธิพลก่อให้เกิดการบุกเบิก
ผู้ที่อยู่ในอิทธิพลของราศีเมษ จะมีความโน้มเอียงที่จะถือตนเองเป็นหลัก
และเพ่งเล็งถึงตนเองก่อนสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเรื่องใด ๆ ก็ตาม คู่ของราศีเมษ ก็คือ
ราศีตุล อิทธิพลของราศีตุลจะเป็นไปในทำนอง ออมชอม กับอิทธิพลของราศีเมษ กล่าวคือ
มีลักษณะ คล้อยตาม ปฏิกิริยาของอิทธิพลของราศีเมษเสมอไป
ดังนั้นบุคคลที่อยู่ในอิทธิพลของราศีตุล จึงมีความโน้มเอียงที่จะสร้างความปรองดอง
สร้างความออมชอม หรือสร้างไมตรีกับบุคคลอื่น ๆ
สำหรับราศีอื่น ๆ ก็คงทำนองเดียวกัน ท่านเองลองย้อนกลับไปดูอิทธิพลของแต่ละราศีดู
ก็จะเห็นว่า มีความสมจริงเช่นนั้น
บทที่ 627
วันนี้ได้ออกมาอยู่ต่างวังหวัดเพื่อมารักษาแขนที่ปวดอยู่ ตอนนี้เป็นเวลา04.25
น ครูจะตื่นแต่เช้า วันนี้เอาเครื่องคอมมาด้วยเลยสามารถทำงานได้
แต่ไม่ได้เตรียมอะไรมา เอาเป็นว่าเป็นเรื่องที่จำได้นะ ว่าจะสอนเรื่องอะไรดี
นี่ก็สอนมา 626
บาทเข้าไปแล้วสามารถนำมาทำเป็นหนังสือได้หนึ่งเล่มเลยทีเดียว
มาถึงนครราชสีมาก็รีบไปให้คุณหมอเภา จัดการแขนเลยห้านาที วันนี้ไปอีก
คิดว่ากลับไปคงดีขึ้น มารักษาทางนี้ไม่เสียเงินมาก แล้วแต่จะให้ ก็ดีไปอย่าง
เสียอย่าง คือไกลไปหน่อย แต่ก็จะมีนักเรียนตามมาวันพฤหัส
เพื่อนมารักษาด้วยเหมือนกัน ว่าจะหายปวดหลังไหม ของพวกนี้อาจจะถูกกันก็ได้
แต่ประวัติหมอเภา มีคนเชื่อถือมารักษาเป็นร้อย ๆ คนต่อวัน เลย
แต่ต้องใช้เวลาเพราะเส้นเอ็นคนเราคือ ne
นั้นมันต้องค่อยปรับสภาพไปเหมือนดวงคนที่ต้องค่อย ๆ
ดูไปอย่างไปรีบร้อนให้มากเราจะไม่ได้อะไรเลย การตรวจดวงชะตานั้น จริง ๆ
แล้วเราสามารถตรวจกันได้ทั้งปีก็ไม่จบ
เลยต้องแบ่งเป็นว่าเจ้าชะตาต้องการทราบอะไรเราก็ไปดูจุดนั้นเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอ
ความต้องการของเจ้าชะตา
เราไม่ควรไปดูให้หมดเพราะบางอย่างเราก็ไม่ควรพูดไปเพราะเค้าไม่ได้ถามมาอาจมีปัญหาทำให้เปลี่ยนชะตาชีวิตได้อาจไม่เป็นไปตามฟ้ากำหนดให้ดีแล้ว
เช่นท่านอาจไปเจอจุดหนึ่งที่จะบอกได้ว่าคนนี้ต่อไปรวยมาก ๆ
เราไปบอกก่อนเค้าก็อาจไม่ได้ทำอะไรให้กับชีวิตนั่งรอความรวยก็รวยไม่รวย
ชะตาฟ้ากำหนดมาให้รวย แต่เราต้องทำด้วย หรือบางทีอาจทำง่ายขึ้นกว่าคนอื่น
คนไหนพื้นดวงดีก็ได้มาไม่ยากอะไรมา ดังนั้น
ครูก็มาคุยเรื่องคนที่จะไปออกงานทำบุญที่ มหาวิทยาลัย นเรศวร นี้
ให้ดูแต่เรื่องที่เค้าถามเท่านั้นอาจบอกเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง เช่นสุขภาพ
โรคประจำตัว อันนี้ไม่เป็นไร เราสามารถทำให้เค้าดูแลสุขภาพให้ดีได้ทำบุญไปอีก
ควรไปฝึกดูเรือนชะตาให้มากไว้เพราะจะดูได้ง่ายกว่าการวัดมุมนะครับ
เรือนลัคนาก็เพียงพอสำหรับการดูในระยะไม่ยาวมากนัก แต่ก่อนที่จะดูเรือน
ท่านต้องตาดี ๆ ขวาดดูพื้นดวงไปรอบหนึ่งก่อน
และตั้งโค้งในเรื่องที่เค้าจะถามเท่านั้นแต่อาจปรับไปดูเรือนชะตาในกรณีมีคำถามเล็ก
ๆน้อย เข้าไป เราจะใช้เวลาไม่มาก
การที่เราสามารถออกภาคสนามได้ถือว่ามีโอกาสดีมาก ๆ ที่สุดในการเรียนโหราศาสตร์
เพราะจะทำให้เราสามารถกล้าพูดกล้าแสดงออก ได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกงานเลย
การผสมดาวนั้นยากแต่ก็อยากให้ฝึกไว้เพราะดาวอาจแปลได้หลายความหมายแต่ละความหมายพูดออกมาก็ถูกหมดไม่ต้องกลัวผิด
กล้าพูดแล้วท่านจะเป็นนักโหราศาสตร์เต็มตัวท่านนักเรียน ทั้ง 10
คน ครูมีความหวังว่าทุกคนจะต้องทำได้ พอผ่านจุดนี้ไป ก็สบายแล้ว
อาจพูดไม่หยุดเลยก็ได้ คราวหน้าจะมาคุยเรื่อง
กลวิธีในการดูออกงานอีกยังไม่หมดยาวไปแล้ววันนี้นะ
บทที่ 628
วันนี้จะมาบอกเรื่องการเตรียมตัวออกงาน มีดังนี้
1 ท่านต้องจำดาวและความหมายดาวให้แม่น
ว่าจะพูดดาวแบบไหนควรพูดเป็นกลางๆ ไว้
เพราะคนมาดูต้องการความสบายใจถ้าดาวเป็นออกมาร้ายเราก็อาจพูดให้อ่อนหรืออ้อม ๆ
ไปหน่อยก็ได้ เช่นท่านเป็นมะเร็ง ก็อาจบอกให้ไปตรวจสุขาภาพดูหน่อยในส่วนนี้
แต่อย่างบอกเค้าไปว่าเป็นมะเร็ง เค้าอาจจะไม่เป็นก็ได้
แต่ให้เค้าทราบเองจะดีกว่าแล้วมาหาเราต่อว่าจะทำอย่างไร
คำพูดเรามีความสำคัญมาในการทำให้จิตใจของคนมาดูกับเรามีกำลังใจ
เราควรให้กำลังใจเค้า
ถึงดวงจะไม่ดีแต่มีกำลังใจก็สามารถผ่านพ้นเรื่องร้ายไปได้ด้วยพลังจิตขอเจ้าชะตาได้
วิธีการออกคำทำนาย ท่านควรออกบทนำจากพื้นดวงก่อน แล้วมาดูรายปี
หรือเรื่องที่เจ้าชะตาถามมาได้เลยเพราะเรามีเวลาน้อย
เอาแต่เรื่อที่เจ้าชะตาต้องการทราบไม่ต้องไปนั่งมองหาดาวมากมาย ให้เค้าถามเข้ามา
เราก็อาจดูโค้ง หรือจุดอิทธิพล
ไปเลยว่าปีนี้มีเรื่องที่เจ้าชะตาต้องการทราบหรือไม่หรือมีเรื่องเกิดขึ้นหรือไม่
สุดท้ายเราต้องเป็นเพื่อนกับเค้ารับฟังเค้าบ้าง
พอสมควรเพราะคนที่มาต้องการระบายความในใจเป็นส่วนมาก
ถ้าได้ระบายแล้วเค้าก็ถูกปลอดปล่อยจิตที่ติดมานานเรื่องปัญหาต่างอาจไม่ต้องดูก็ได้นั่งคุยกันหาทางออกให้เค้าให้ได้หรือบางทีเค้าอาจหาทางออกให้กับชีวิตไม่ได้แต่มาเจอเราเราไม่ได้อยู่ในเรื่อง
ที่เค้าเป็นทุกข์ เรามองปัญหาได้ง่ายกว่า สามารถนำเส้นผมที่อยู่ในตาเค้าออกได้
ขั้นต่อไปท่านต้องเตรียมตัวในเรื่องจุดอิทธิพลต่าง ๆ ต้องเตรียมไปด้วย
เครื่องคอมพร้อม พักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าอิง อ่านก็บอกทีมด้วยว่า
ควรทำตัวเป็นที่ปรึกษา
เรียนกับครูมาก็ได้อะไรไปพอสมควรแต่ทีมนี้อาจต้องไปเร็วหน่อยกลับมาก็จะสอนให้ลึกลงไปอีกให้ท่านสามารถบอมองดวงออกไม่ต้องวัดมุมกันเพียงเห็นพื้นดวงก็พูดได้
จำดาวจรแต่ระวันให้ได้ ราศีอย่างพลาด สุขภาพส่วนไหน นิสัยเป็นอย่างไร
ท่านต้องมีความจดจำให้ได้ท่านก็สามารถออกงานได้แล้ว
|